ตอนที่เรียนหนังสืออยู่ฟังอาจารย์พูดอาจารย์สอนเรื่องการการพูดจากับคนไขhสามารถที่จะช่วยทำให้คนไข้หายเร็วขึ้น...เป็นไปได้อย่างไร พอจบมาทำงานก็พยายามทำตามอาจารย์คือการพูดการจากับคนไข้ ผู้มารับบริการ ญาติหรือใครก็ตามที่มาพูดคุยด้วยด้วยความจริงใจจริง ๆแต่บางครั้งพูดดังไปพูดแรงไป ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไร
ไปอบรมงานด้านจิตเวช อาจารย์หลายท่านพูดเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ของการพูดจากับคนไข้ดี ดี ฟัง เข้าใจ และให้กำลังใจ ว่าเป็นยาขนานเอกเลยทีเดียวก็พอเข้าใจมาบ้างว่า ผู้ป่วยไข้ นอกจากป่วยทางกายแล้วมักมีอาการป่วยทางใจด้วยเกือบทุกคน เมื่อมีคนมาฟัง มาให้กำลังใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ทางสุขภาพแล้วเหมือนได้ยาดีไปแล้ว 1 ขนานนั่นคือ "ยาทางใจ"
มารู้ซึ้งอีกครั้งก็ตอนที่พา"พ่อ"ไปรับการรักษาโรคตากับคุณหมอเฉพาะทางที่โรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่ง ทั้ง ๆที่มีความรู้เรื่องโรคตามาบ้างตอนเรียน เราก็ยังเครียด และ"พ่อ"เป็นคนที่มีอาการ"เมารถ"แบบรุนแรงซะด้วย เวลาเมารถแล้วพาลจะช๊อกเอาเคยพาพ่อไปต่างจังหวัดกลับมาต้องทั้งเติมน้ำเกลือ ฉีดยาแก้เมาให้ เป็นอาทิตย์กว่าอาการจะดีขึ้น ก่อนเดินทางจึงให้ยาแก้เมาอีกและต้องเป็นแบบพิเศษอีกเพราะ"ท่านพ่อ"แพ้ยาแก้เมาทั่วไปคือ แพ้ดรามามีน จึงต้องให้ยาแก้เมาด้วยการ(ฉีด 1 เข็ม)ก่อนขึ้นรถ ซึ่งเราต้องขับเอง ก็ขับไปแบบระวังจนเกร็งตลอดทาง พยายามถามพ่อว่าเมาหรือเปล่า พ่อก็บอกว่า"ไม่" ค่อยใจชื้นหน่อย
กลับจากการพาพ่อไปรับการตรวจพิเศษก็ต้องรีบพาตัวเองไปประชุมงานต่อที่อำเภอ ทั้ง ๆที่เริ่มรู้สึกเมื่อยต้นคอ ไหล่แข็งเกร็งทั้งสองข้าง ปวดศรีษะตะหงิด ๆขึ้นมาเล็กน้อยพอไปนั่งประชุมเจอเรื่องหนัก ๆเข้าไปหลายเรื่อง พอเสร็จจากการประชุมก็กลับมาที่ทำงานพร้อมกับอาการปวดศรีษะ ปวดท้ายทอย พอเดินเข้ามาที่ห้องทำงานพบคุณหมอที่ทำงานด้วยกันท่านหนึ่งนั่งคุยกับเภสัชกรสาวสวยอีกท่านหนึ่งพอน้องหมอกับน้องเภสัชของเราเห็นหน้าผมก็ทักทันทีว่า"เหนื่อยมากเลยหรือพี่"พร้อมกับลุกไปรินน้ำมาให้ทาน ผมกล่าวขอบคุณเบา ๆ และพูดว่า"ผมปวดศรีษะ เกร็งที่ท้ายทอย ว่าจะทานยาสัก 2 เม็ด"
น้องเภสัชคนสวยยิ้มมองหน้าผม"พี่จะเอายาอะไร เดี๋ยวหนูจะไปเอาให้..." แล้วน้องแกก็เดินไปหยิบยาที่ห้องยามาให้
คุณหมอยังคุยต่อและถามอาการพ่อผม
"อาการพ่อพี่เป็นไงบ้าง" "
"ความดันลูกตาลดเหลือ 18"
"โอเค เลยพี่ ไม่น่าเป็นห่วง ไม่กีวันก็น่าจะดีขึ้นแน่ ๆ"
อาการปวดศรีษะผมเบาลงทันที ไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆที่ยังไม่กินยา
ผมมานั่งคิดดูนะ "คำพูด กำลังใจ ความใส่ใจ ของเพื่อน ของผู้ร่วมงาน ผู้รู้ใจ" ก็เป็นยารักษาโรคได้ขนานหนึ่งจริง ๆ
เข้าใจอย่างแท้จริงเลยครับอาจารย์!!!
และจะนำไปใช้กับคนไข้ ญาติ และจะสอนน้อง ๆให้เข้าใจเหมือนเรา อิ อิ อิ ??
สวัสดีครับน้องกุ้ง
พี่ซำบายดีครับ...เหนื่อยบ้างบางเวลา
แต่ก้อพยายามเติมให้ตัวเองอยู่เสมอ....คนอื่นก็เติมให้ด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
คำพูด ได้ทั้ง ให้กำเนิด และกำจัด
หวังว่าชีวิตของพวกเราจะได้พบแต่คำพูดที่ให้เอื้อต่อการกำเนิด ครับ
เรียนท่าน
:-ลึกซึ้งครับ ถูกต้องเลย คนที่ใช้คำพูดเป็นไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องใช้ปืน แต่"ฆ่า"คนได้เลยทีเดียว
สวัสดีครับพี่ Mr. Kraton Pai
บันทึกนี้ได้เรียนรู้หลายอย่างเลยทีเดียวนะครับ
เป็นการสะท้อนข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่ง
เป็นการบอกเรื่องราวที่สวยงาม ของผู้คนที่อยู่ร่วมกัน ด้วยความรัก ความใส่ใจ
เป็นการตอกย้ำวิถีให้คนเราหนักแน่นในวิถีที่งดงามต่อไปครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ปล มีท่านสมคบ พี่กุ้งมา ลปรรด้วย ดูอบอุ่นนะครับ อยากให้ชุมชนแบบนี้ขยายตัวที่ปายเราจังเลยครับ
สวัสดีครับท่านสมคบ
ชอบวาทกรรมนี้มากครับ จะจดจำครับ
หวังว่าชีวิตของพวกเราจะได้พบแต่คำพูดที่ให้เอื้อต่อการกำเนิด ^_^
สวัสดีครับ
ถูกต้องเลยครับ คำพูด เป็นได้ทั้งอาวุธที่ใช้ประหัตประหารกันและเป็นได้ทั้งยาทิพย์ขนานเอก
งานช่วงนี้ก็เรื่อย ๆครับ มีเรื่องวัฒนธรรม เรื่องกีฬาและแผนของโรงพยาบาลมาให้คิด
บางเรื่องทั้งพูดและทำไม่ได้เพื่อตนเองครับ แต่เพื่ออีกหลายคน บางครั้งก็ต้งยอมเจ็บบ้างใช่ไหมครับ??
ขอบคุณครับที่เป็นกำลังใจให้กันเสมอ
มีความสุขนะครับ!
อ.มนตรี บอกผมว่า ขณะที่เราดูแลตนเองอย่างดีก็เท่ากับเป็นการดูแลผู้อื่น แล้วก็การดูแลผู้อื่นก็เป็นการดูแลตนเองอันยิ่งใหญ่