ติดพันเรื่องน้ำท่วม ทำให้นึกภาพ ในช่วงที่เรียนชั้นประถมศึกษา ที่กลับมาเยี่ยมบ้านเวลาน่าน้ำ ( ท่วมบ่อย ) ยายเคยเล่าให้ฟัง ว่าน้ำท่วมมากที่สุด ปี 2475 บ้านของ ตา ยาย ว่าสูง แล้ว ต้องหนุนพื้นให้สูงกว่าขอบหน้าต่าง ขึ้นไป ลืมบอกไปว่า บ้าน ตา ยาย ที่ผมเกิดนั้น เป็นบ้านทรงไทย สมัยเก่า ๆ ที่เวลา ฝนตก ฝนจะสาดแทบทั้งหลัง แต่ถ้าอากาศดีๆ มีลมพัดผ่านจะเย็นสะบาย ซึ่งช่วงที่น้ำท่วมสูง ต้องนำสิ่งของใส่เรือสัมปั้นลำใหญ่เอาไว้เผื่อฉุกเฉิน ที่ว่าเรือปั้นลำใหญ่ เพราะสามารถนั่งในเรือได้กว่า 10 คนสะบาย ๆ ถ้าจะเดินทางต้องใช้แจวข้างท้ายและมีคนช่วยพายทางหัวเรือ 2-3 คน ยายมีเรือหลายลำ และหลายขนาด มีทั้งเรือต่อ ( เรือที่นำกระดานแผ่นเล็ก ๆ มาเรียงต่อกัน) เรือขุด ( เรือที่ขุดจากไม่ท่อนเดีวเป็นรูปเรือ ) เรือต่อน้ำหนักเบา พายง่าย ไม่หนัก เรือขุด ค่อนข้างหนัก เวลาพายออกตัวได้ช้ามาก
ช่วงที่น้ำท่วม มีบางปี ที่ ตา ยาย แม่ และน้า ต้องออกไปเกี่ยวข้าว ท่านคงสงสัย ว่าเกี่ยวอย่างไร ก็นั่งในเรือสัมปั้นลำใหญ่ แล้วเกี่ยว ที่บอกเกี่ยวข้าวในน้ำ เพราะการพยากรณ์อากาศสมัยก่อน ข่าวสารไม่ทันสมัย ด้วยข่าวสารจากบางกอก ฟังจากทางวิทยุที่ใช้ถ่านกะบะ 20-30 ก้อน (จำไม่ได้แม่นนัก) การปลูกข้าวสมัยเดิมต้องเสี่ยงกันดู เมื่อได้ข้าวที่เกี่ยวแล้วต้องนำมาตากแห้ง บนลานตากข้าว ที่ ตั้งเสาแล้วเอาไม้ไผ่พาดวางเรียงกัน แล้วเอาเสื่อลำแพนมาปูเพื่อไม่ให้ข้าวตกน้ำ ที่ตากข้าวสูงพอ ๆ กับพื้นบ้าน ต้องตากข้าวให้แห้งแล้วจึงนวดโดยให้ควายย่ำ บริเวณโคกที่เป็นคอกควาย จากนั้นจึงนำข้าวเปลืกไปตากอีกครั้ง เนื่องจากข้าวเปลือกมีเศษของฟางข้าวและข้าวเม็ดลีบติดมาด้วย วิธีที่จะทำให้ได้ข้าวเปลือกสะอาด โดยฝัดด้วยกระดงที่ผู้ใหญ่ที่มีความชำนาญจึงจะสามารถทำได้ กับใช้เครื่องสีฝัด
เมื่อได้ข้าวเปลือกที่ค่อนข้างหมดจดแล้ว ก็เก็บไว้ในยุ้งข้าว ที่มีพร้อม( เป็นภาชนะหน้าตาคล้ายกระบุงขนาดให้ 2-3 คนโอบ ) ใส่ข้าวเปลือกไว้ เพื่อนำไปสีให้ได้ข้าวสาร แล้วขายให้กับโรงสี แลกเปลี่ยนเป็นเงิน
ช่วงน้ำท่วมมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมเคยไปช่วย ตัดหาฟืน คนคงสงสัยว่า ทำไมจึงต้องตัดฟืนน่าน้ำ ต้องบอกว่า เพราะเอามาได้ทีละมาก ๆ ช่วงที่ผมเล่านี้ การหุงข้าวยังใช้หม้อดิน เชื้อเพลิงที่ใช้ก้อฟืนไง ฟืนที่ใช้ได้ดีมาก ๆ ต้องเป็นไม้สะแก ป่าสะแกจะอยู่ห่างจากบ้านที่อยู่ ประมาณ 1 กิโลเมตร ถ้าหากแบกมาก็จะได้วันละ 1 ท่อน ใช้เรือขนได้ทีละมาก ๆ ขนมาถึงบ้าน ทิ้งไว้ในน้ำที่ลานหลังบ้าน จนกว่าน้ำแห้ง จึงจะมาทอนเป็น ท่อนสั้น พอเหมาะกับเตาไฟ ( ยายบอกว่าไม้สะแกเป็นไม้แกร่ง ไฟแรงดี )
วิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำ ช่วงน้ำท่วม เป็นความสุขอีกแบบ ที่คนรุ่นเก่าสั่งสอนและให้ประสบการณ์กับเราด้วยการกระทำจริง
อ่านแล้วได้ความรู้ เกี่ยวกับวิถีชีวิต การดำเนินชีวิตของคนสมัยก่อน
คนสมัยก่อนดูมีความสุข สงบ
คิดถึง เศรษฐกิจ พอเพียง ขึ้นมาทันที