ฯลฯ
หลักเกณฑ์ เป็นสิ่งสมมุติ
กฎหมาย เป็นสิ่งสมมุติ
ภาษา เป็นสิ่งสมมุติ
วัฒนธรรม ก็เป็นสิ่งสมมุติ...
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ "ละทิ้ง" สมมุติเสียเลย
แต่สอนให้ “ใช้” สมมุติแต่ พอดี
ถ้าไม่พอดี ไปแก้ผ้าเดินแล้วบอกว่า
"กูไม่หลงสมมุติแล้วโว้ย ใครจะว่ากระไรก็ช่างกู
กูไม่ยึดมั่นถือมั่น กูเป็นพระอรหันต์แล้วโว้ย!
ประสกสีกาทั้งหลาย..."
อย่างนี้เรียกว่าเลยสมมุติ...
การใช้สมมุติที่บอกว่าให้ใช้พอดีคืออย่างไร
กล่าวง่าย ๆ คือ "ใช้สมมุติโดยไม่ให้สมมุติมันกัด"
เหมือนมีรถก็ทุกข์เพราะรถ มีบ้านก็ทุกข์เพราะบ้าน
มีเมล์ก็ทุกข์เพราะเมล์ขยะอีก นี่คือถูกสมมุติกัด
ตัวอย่าง
เช่นคำพูดของพระสงฆ์
ที่บางรูปอาจใช้คำแบบชาวบ้าน ไม่ใช่ชาววัด
เช่นใช้ สวัสดีครับ แทนที่จะใช้ เจริญพร
ญาติโยมบางท่านที่เคร่งกับกฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้มักบ่นให้ได้ยินกันเสมอ ๆ
ว่าพระใช้คำไม่ “สำรวม” ....?
อันว่าภาษาคำพูดของพระ
เป็นเรื่องวัฒนธรรม ฯลฯ ก็จริง
แต่มันก็เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นมา
เช่นเดียวกับประเพณีบางสิ่งที่ไร้สาระ
หรือเทพเจ้าบ้าบอทั้งหลาย
ที่คนเราสมมุติขึ้นมาปลอบ(หลอก)ใจตัวเอง
แต่กลับเอามายึดว่าเป็นสาระ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า คนเหล่านั้นจักไม่พบกับสาระ
จนบางท่านเคร่งจนเครียดไปก็มี บางทีพระท่านกล่าวสวัสดีทักทาย แถมท้ายด้วยธรรมะอย่างดี
แต่กลับไม่ฟัง พลางตำหนิท่านว่าไม่สำรวม ใช้ไม่ได้...
เพราะไม่ได้ตริตรองถึงเนื้อหาข้อความ
ตรองแต่เปลือกของไม้ที่หุ้มแก่น
แล้วสรุปว่าไม้นี้ "ใช้ไม่ได้" มันดีละหรือ
ที่ตัดสินคนอื่นหรือสิ่งต่างๆ ด้วยปัจจัยเพียงเท่านี้
เหมือนเห็นเป๊ปซี่ครั้งแรกก็ขยะแขยงว่าน้ำ "ดำ"
หารู้ไม่ว่ามันซาบซ่าถึงใจขนาดไหน (อุหว่า....คิดแล้วเสียวคอ)
คนแบบนี้จะเสียดายสิ่งดี ๆ ในชีวิตมาก
เพราะยึดสมมุติมากไป
แทนที่จะเอาสมมุติไว้ "ใต้เท้า" ให้เป็น "ทาส" เรา
แต่กลับเอาไป "แบก" ไว้ "บนหัว" แล้วก็มานั่ง "ทุกข์" กับมัน
ที่อาตมากล่าวมาข้างต้นนี้
กรอปด้วยเหตุผลหรือไม่ ลองตรองดู
สวัสดี...
เอ้ย! เจริญพร.
สำหรับผู้หลงเข้ามาอ่าน.....
บันทึกนี้ ผมนำมาจากที่ผมเคยโพสต์ตอบไว้ในกระดานกรมการศาสนา ครับ
ธรรมสวัสดี
ราตรีสวัสดิ์ครับ...
ว้าว มีผู้หลงเข้ามาตอบแล้ว 1 คน
-นมัสการพระอาจารย์ ที่เคารพ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนแต่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น การที่ต้องสมมุติขึ้นมา เพื่อจะได้ให้รู้บทบาทแต่ละคน ทำหน้าที่ มีวินัย หริอ กติกาชีวิตอย่างไร เพื่อแยกแยะ กันชีวิตสับสน อลหม่าน
- และเช่นเดียวกับมนุษย์ คือผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย บางทีบางครั้งก็ลืมตัวว่า ตัวเองตอนนี้สมสมุติเป็นอะไรอยู่ เป็นคนดี คนร้าย คนชั่ว คนเลว
-เปรียบชีวิตเช่นดังตัวละคร บทบาทบางตอนยอกย้อนเหลือเกิน ชีวิตบางคนรุ่งเรืองจำเริญ แสนเพลิน เหมือนเดินอยู่บนหนทางวิมาน เกิดมาต้องตายร่างกายผุพัง ผู้คนเขาชัง คิดยิ่งระวังไหวหวั่น
-เป็นเพลงไปเลย มีคติดี เลยว่าไป ลืมไปว่าสิ่งสมมุติทั้งหลายในโลก มันมีวันล้มหายตายจาก สิ่งที่เหลือไว้ก็คงมีแต่ความดีเท่านั้น สาธุ สาธุ นมัสการคะ
สาธุ ๆ เจริญธรรมครับ