ชุมชนชาวห้องสมุด เป็นอีกชุมชนหนึ่ง ที่มีหลายคนมีความรู้ความสามารถ แต่ธรรมชาติของชาวห้องสมุดคือ ขี้อาย ชอบปิดทองหลังพระ ความจริงแล้วหลังจากที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับการทำงานของชาวห้องสมุด ผมพบเรื่องน่าทึ่งหลายเรื่องภายในห้องสมุดแห่งนี้ เรื่องแรกคือ
ตอนที่เลือกเรียน ชื่อเต็มของสาขานี้ คือ library and information science เพราะคำว่า Information science แท้ ๆ จึงเลือก คิดว่าต้องเป็นอะไรที่มันทันสมัย เพราะตัวเองก็ไม่ชอบอะไรที่โบราณ ศาสตร์ในสาขาอื่น ๆ พัฒนาไปเท่าทันเทคโนโลยีเท่าใด ห้องสมุดเองก็ต้องเป็นแหล่งรวมศาสตร์ที่ทันสมัยเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
55555 เคยแอบไปดูห้องทำงานของอาชีพอื่น ๆ นะค่ะ แต่ก็ชอบสภาพแวดล้อมการทำงานของตัวเองที่สุดเพราะมีทุกอย่าง เท่าทันเทคโนโลยีเท่าที่เค้าจะผลิตออกมาขาย !!!! (มีแต่ใช้ไม่เป็นก็ค่อย ๆ ฝึกฝนกันต่อไปนะจ๊ะ) ส่วนเสื้อผ้า หน้า ผม อันนี้คงต้องตามไปดูวันหยุด ว่าจริง ๆ แล้วก็เปรี้ยวเป็นเหมือนกัน นะค่ะ อิอิอิ
แล้วกัน เร็วพวกเรา อาจารย์หนึ่งว่าเราขี้อาย ไม่จริ้งไม่จริง ยิ่งกว่านี้เราก็ทำมาแล้ว จริงมั้ย (หาแนวร่วม) อาจารย์ก็ยังเคยเห็นเนาะ อย่าช้านะจ้ะ มาลงเรื่องแลกเปลี่ยนเกร็ดที่มีอยู่ในไส้ในพุงของเรา เร้ว ......
แม้ไม่ค่อยชอบคำว่า " บรรณารักษ์ " เพราะรู้สึกว่ามันเชย ( ทั้งชื่อและตัวคน ) เรียนจบแล้วก็เคยไปทำงานอย่างอื่นมาแล้ว แต่สงสัยอาชีพนี้จะเหมาะกับตัวเองที่สุด โลกจึงเลือกเรา 555 ... ทุกวันนี้รู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานห้องสมุด ที่อยู่กับข้อมูลความรู้ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้สัมผัสเทคโนโลยีทันสมัยไม่น้อยกว่าอาชีพอื่น ... เคยมีความคิดอยากให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็น "นักสารสนเทศ " จะได้ทันกับยุคสมัย แต่คิดอีกที ..ชื่อนั้น สำคัญไฉน เราควรแสดงบทบาทและความสามารถให้คนอื่นได้เห็นจะดีกว่านะคะ
หม่อมกลาง ก็อึ้ง ทึ่ง เหมือนอาจารย์หนึ่งเลยค่ะ เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรของหอสมุด คงต้องย้อนเวลา....ปี ไปก่อนที่จะได้มาทำงานที่หอสมุด ซึ่งที่ทำงานเดิม(กองแผนงาน) นั้นขนาดขององค์กรก็ต่างกันก็คิดว่ามันต้องวุ่นวายแน่ๆเลย แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสต้องยอมรับว่ามันตรงกันข้ามเลย ที่ห้องสมุดเราอยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ
*เรื่อง การประกันคุณภาพ QA นั้นชาวหอสมุดเราได้มีการดำเนินงานมาหลายปี ซึ่งส่วนใหญ่ได้นำมาปฏิบัติจนกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร(ต้องบอกว่าเราภาคภูมิใจกับรางวัลที่ได้มาทุกปี มันทำให้เราหายเหนื่อยกับการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ)
** เรื่องห้องสมุดกับเครือข่ายต่างๆ นั้น ต้องยอมรับจริงๆว่ามีความเหนียวแน่นมากๆ(เปรียบไปแล้วก็เหมือนใยแมงมุม)เพราะเรามีเครือข่ายงานครอบคลุมทั้งในจังหวัด ภูมิภาค และประเทศ เช่นความร่วมมือของฝ่ายวารสารและเอกสาร ในความร่วมมือของสถาบันอุดมศึกษา ในปี 2548 ก็ได้เกิดโครงการ NewspaperLink ที่ได้รวบรวมรายการหนังสือพิมพ์ที่ห้องสมุดต่างๆมีให้บริการ หรือจะเป็นในส่วนภูมิภาค(Pulinet) เราก็มีคณะทำงานความร่วมมือฝ่ายวารสารและหนังสือพิมพ์ ก็มีโครงการต่างๆ เช่น โครงการฐานกลางรายชื่อวารสารภาษาไทยที่จัดทำดรรชนี มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการทำดรรชนีวารสารซ้ำซ้อนกัน หรือจะเป็นโครงการฐานข้อมุลกลางการบอกรับวารสารภาษาต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ลดการจัดซื้อวารสารภาษาต่างประเทศซ้ำซ้อนเพื่อประหยัดงบประมาณที่เสียไปในแต่ละปี
***ส่วนเรื่องสุดท้ายนี่แหม เห็นบรรณารักษ์แต่ละคนออกมาปกป้องตัวเองว่าไม่ได้เชยตามชื่อวิชาชีพและยังมีการพัฒนาการทำงานด้วยไอทีก็เราต้องอยู่กับข้อมูลและสารสนเทศน่ะมันจำเป็นต้องหาความรู้ ส่วนความเห็นของหม่อมกลางในเรื่องที่บรรณารักษ์ที่แต่งตัวเชยในความคิดของหลายคน ต้องขอบอกว่าคงต้องฟังหูไว้หูน่ะเพราะบางครั้งเราต้องมีการปรับปรุงบุคลิกภาพให้มันน่าเชื่อถือไปพร้อมกับน่าชื่นชม(ไม่เชยนั่นเองแหละ)
เห็นชื่อวิชาเชยเชย แต่จริงจริงแล้ววิชาชีพของบรรณารักษ์อย่างเรา เดิ้นจะตายไปค่ะ