ท่ามกลางป่าเขาลำไพร ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ พืชนานาชนิด พืชอาศัยสัตว์ สัตว์อาศัยพืช เป็นห่วงโซ่อาหารที่พึ่งพิงกันและกันไปตามกฎของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อาศัยอยู่ตามได้โดยอาศัยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เฉกเช่นจุลินทรีย์ ผู้ทำหน้าที่ย่อยสลาย สามารถย่อยไม้ใหญ่ให้กลายเป็นผงธุลีได้ แต่ก็ต้องอาศัยเวลาอันยาวนาน จึงจะย่อยสลายได้สำเร็จ
ด้วยความสามารถในการย่อยสลายวัสดุของจุลินทรีย์นี่เอง จึงเป็นสิ่งที่นักเรียนสนใจจะนำเอาเชื้อจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ต่อการทำนา เจ้าหน้าที่ภาคสนามมูลนิธิข้าวขวัญจึงพานักเรียนชาวนาไปเดินสำรวจธรรมชาติ เรียนรู้ระบบนิเวศ และเก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์มาทดลอง
การเดินทางของนักเรียนชาวนาจึงเริ่มขึ้นเพื่อไปเก็บเชื้อจุลินทรีย์บริเวณน้ำตกไซเบอร์ ในอุทยานแห่งชาติห้วยขาแข็ง อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี สถานที่ที่เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของประเทศไทย และอยู่ใกล้บ้านในจังหวัดสุพรรณบุรี และหลังจากที่เดินทางกลับมาถึงบ้านกันแล้ว จึงได้นำเอาเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้มาแพร่ขยายต่อเชื้อ
วัสดุที่จะกลายมาเป็นอาหารของจุลินทรีย์มีหลากหลายอย่าง อย่างหลักๆก็คงหนีไม่พ้น กากน้ำตาล ซึ่งตัวเอกของการต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ และนอกจากนี้ก็จะใช้วัสดุธรรมชาติมาเป็นอาหาร ซึ่งสามารถใช้เศษวัสดุธรรมชาติที่พบเห็นทั่วไป นำมาใช้เป็นอาหารให้กับเชื้อจุลินทรีย์ได้ อย่างเช่น รำอ่อน เศษใบไม้ ฟางข้าว ทั้งนี้ก็แล้วต่อว่าในท้องถิ่นใดจะมีอะไรเป็นอย่างไร การต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์จึงมีมากมายหลายสูตร ตัวอย่างที่จะนำมาเสนอจะเป็นการใช้รำอ่อน
ในกรณีใช้รำอ่อนเป็นอาหาร มีส่วนผสม ดังนี้- เศษใบไม้ที่มีเชื้อจุลินทรีย์ จำนวน 1 กิโลกรัม
- กากน้ำตาล จำนวน 2 ช้อน
- ผสมน้ำ จำนวน 2 ลิตร
- รำอ่อน จำนวน 5 กิโลกรัม
วิธีการผสมอย่างง่ายๆ คือ นำเอารำอ่อน เศษใบไม้ที่มีเชื้อจุลินทรีย์ และกากน้ำตาลที่ผสมน้ำแล้ว มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงเอากระสอบป่าน (หรือถุงปุ๋ย) ห่อไว้ใต้ร่มไม้ ทิ้งระยะไว้ประมาณ 7 วัน
เมื่อระยะเวลาผ่านไปได้ประมาณ 7 วันแล้ว ลองเปิดห่อดูจึงจะพบว่า มีเชื้อจุลินทรีย์สีขาวแพร่กระจายไปทั่ว นักเรียนชาวนาบอกว่าอย่างนี้แหละที่เรียกกันว่า “เชื้อเดิน” นี่จึงเป็นการต่อขยายเชื้อหรือเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ให้ได้มีปริมาณมากขึ้น โดยหาวัสดุมาเป็นอาหารให้จุลินทรีย์เกาะกินขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ
นักเรียนชาวนาได้เชื้อจุลินทรีย์มาแล้ว ซึ่งอุตส่าห์เดินทางขึ้นไปเก็บมาจากแหล่งน้ำตก ไซเบอร์ แล้วก็ทำการขยายต่อเชื้อแล้ว นักเรียนชาวนาจึงแบ่งเชื้อจุลินทรีย์ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็แบ่งส่วนเอาไว้ขยายเชื้อไปอีกเรื่อยๆ และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปใช้ประโยชน์ อาทิเช่น นำไปทำน้ำหมักและฮอร์โมน เป็นต้น
ในกรณีที่ใช้ฟางข้าวผสมกากน้ำตาลเป็นอาหารสำหรับต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ โดยที่เป็นการทดลองของคุณนิพนธ์ คล้ายพุก นักเรียนชาวนาโรงเรียนชาวนาบ้านดอน (ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี) คุณนิพนธ์บอกว่า อย่างไรสุดท้ายนักเรียนชาวนาก็จะนำเชื้อ จุลินทรีย์ไปย่อยฟางในนาข้าว ก็เลยคิดเอาฟางข้าวมาผสมกากน้ำตาลให้กลายเป็นอาหารสำหรับต่อเชื้อไปเลย ซึ่งการทดลองในเบื้องต้นของคุณนิพนธ์ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เอาใจรอดูในระยะยาวว่าจะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เป็นกำลังใจให้แก่ชาวนานักวิจัย
และในกรณีที่ใช้ใบไผ่ผสมกากน้ำตาลเป็นอาหารในการต่อเชื้อจุลินทรีย์ เพราะตามบ้านและสวนทั่วไปในจังหวัดสุพรรณบุรีมักจะมีกอไผ่เป็นจำนวนมาก ก็สามารถนำใบไผ่มาใช้ประโยชน์ได้
กล่าวถึงใบไผ่แล้ว ก็ต้องมาเรียนรู้กับเรื่องของไม้ไผ่ด้วย นักเรียนชาวนาได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงไปแล้ว เป็นการเพาะเชื้อจุลินทรีย์ท้องถิ่นจากปล้องไม้ไผ่ นักเรียนชาวนาจะต้องเลือก ต้นไผ่ที่อยู่บริเวณตรงกลางป่าไผ่ เลือกแล้วตัดต้นไผ่ให้สูงจากพื้นประมาณ 10 เซนติเมตร แต่งปากขอบกระบอกด้วยการตัดเฉียง จากนั้นนำข้าวเหนียวนึ่งใส่ลงในกระบอก ใส่ให้พูนขึ้นมาเหนือรอยตัด ทั้งก็เพื่อให้ข้าวดูดซับน้ำเลี้ยงที่บริเวณรอยตัดปล้องไผ่ แล้วนำกล่องไม้บนครอบปากปล้องเป็นชั้นแรก และนำใบไม้มาคลุมไว้ด้านบนเป็นชั้นที่ 2 ตามมาด้วยการคลุมชั้นที่ 3 ด้วยผ้าพลาสติก เพื่อกันน้ำฝนซึมลงไป อาจจะหาวัตถุที่มีน้ำหนักมาวางทับผ้าพลาสติกไม่ให้ลมพัดปลิวไป รอเวลานานประมาณ 3 – 5 วัน กลับมาเปิดดู ก็จะพบว่า ทั่วบริเวณจะเกิดมีจุดสีต่างๆ อย่างเช่น สีเหลือง ขาว ดำ ซึ่งก็เป็นเชื้อราต่างๆเกิดขึ้น จากนั้นจึงตัดปล้องไม้ไผ่ออกจากกอ เทข้าวที่มีอยู่ในปล้องไม้ไผ่ใส่ในโอ่งดิน เราๆท่านๆก็จะได้จุลินทรีย์ธรรมชาติที่มีอยู่ตามท้องถิ่น เรียกว่า ไอเอ็มโอ 1 ซึ่งสามารถนำมาผสมลงในกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง ในอัตราส่วน 1 : 1 ก็จะได้จุลินทรีย์ธรรมชาติอีก เรียกว่า ไอเอ็มโอ 2 ให้ปิดโอ่งดินด้วยผ้าขาวบาง มัดด้วยเชือก
เรื่องจุลินทรีย์ในธรรมชาติยังมีอีกวิธีการเพาะเชื้ออีกอย่างหนึ่ง ได้มาจากตอซังข้าว โดยนำเอาข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบมาใส่ในภาชนะขนาด 1 กิโลกรัม แล้วใช้กระดาษขาวๆบางๆปิดปากภาชนะนั้นไว้ จากนั้นจึงนำไปวางคว่ำหน้าลงไปในตอซังข้าวที่ผ่านการเก็บเกี่ยวมาแล้ว มีข้อระวังเล็กน้อยคือ ไม่ควรวางลงในบริเวณพื้นนาที่แฉะจนเกินไป ควรจะวางไว้ในบริเวณที่แห้งๆ แล้วใช้ตอซังคลุมภาชนะใส่ข้าวนั้น รอระยะเวลาสัก 3 วัน ก็สามารถเก็บจุลินทรีย์มาเพาะขยาย เพื่อนำไปใช้ในแปลงนา
เรื่องราวของจุลินทรีย์ยังไม่จบเพียงเท่านี้
เมื่อมีการนำเชื้อจุลินทรีย์ที่นักเรียนชาวนาเพาะเลี้ยงไปทำการศึกษาวิจัยในเบื้องต้น
โดยได้รับการช่วยเหลือทางวิชาการจากรองศาสตาจารย์ ดร.ก้าน
จันทร์พรหมมา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ได้เก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์ที่เพาะเลี้ยงกับใบไม้จากโรงเรียนชาวนาวัดดาว
(อำเภอบางปลาม้า
จังหวัดสุพรรณบุรี)
ผลจากการศึกษาวิจัยในเบื้องต้นนั้น พบว่า
มีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อการเกษตรชีวภาพ
ได้แก่ เชื้อราไตรโครเดอร์มา
ซึ่งสามารถปลดปล่อยสารที่เพิ่มการเจริญเติบโตของพืชและสร้างเชื้อจุลินทรีย์จากใบไผ่สามารถแยกจุลินทรีย์ได้หลายกลุ่ม
โดยแยกเป็นเชื้อราและยีสต์ หลังจากความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง
และความสามารถในการสร้างเอนไซม์ต่างๆอีกจำนวนมาก
แบคทีเรียบาซีลัสและยีสต์ที่แยกได้ยังสามารถสร้างสารยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรียโรคพืชได้อีกด้วย
และหากนำใบไผ่ไปใช้ในแปลงปลูกพืชจะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการปลูกพืชของเกษตรกร
ไม่ว่าจะเป็นลดปัญหาด้านโรคพืช
และยังช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตได้อีกด้วย
ผลจากการศึกษาวิจัยในเบื้องต้นสามารถให้ความกระจ่างแจ้งแก่นักเรียนชาวนาได้เป็นอย่างมาก
และเป็นการยืนยันจากนักวิชาการว่า
เทคนิควิธีการอันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของนักเรียนชาวนาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์
สร้างความภูมิใจให้แก่ชุมชน
และนักเรียนชาวนาสามารถใช้ประโยชน์จากเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ด้วยวิธีการที่ง่ายๆ
แต่ให้ประโยชน์ต่องานเกษตรชีวภาพได้อย่างมาก
โดยมีต้นทุนที่ต่ำมากๆ
และจะเอื้อต่อการพัฒนาไปสู่เกษตรชีวภาพแทนการใช้สารเคมี
จะทำให้นักเรียนชาวนามีสุขภาวะที่ดีต่อไป