สัปดาห์โรคจิต 3: ถูกน๊อค


สัปดาห์นี้เป็นความทรงจำที่ดีของผมเลยครับ ตะลึงตัวเองเหมือนกันที่สามารถพูดกับคนที่กำลังด่าเราได้ทางโทรศัพท์ด้วยภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ได้เจอกับคนไข้โรคจิต 4 คน ได้เจอกับคนที่มาลองของ 2 คน ได้เจอคนไข้คนไทย 1 คน ได้เจอเมียคนไทย 1 คน เพื่อนผมกำลังมีปัญหาเรื่องการทำงาน 2 คน

วันที่ 12 ตุลาคม 2550

วันนี้เป็นวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ 23 นับถอยหลังไปก็จะเหลือเพียง 33 วันเท่านั้นเอง และก็จะเป็นหนึ่งในสัปดาห์อลเวงของหมอธนพันธ์คนนี้ เจอทั้งคนไข้โรคจิต คนที่กำลังจะเป็นโรคจิต และหมอคนนี้จะเป็นโรคจิตไปเสียเอง

                ผมถูกต้อนรับยามเช้าด้วยการโทรศัพท์เรียกจากครูหาญให้ขึ้นไปคุยกันท่านที่สำนักงานราว 8 โมง เอ จะมีอะไรหนอ คนไข้ที่เราผ่าตัดไปเมื่อวานก็ไม่มีปัญหา ไม่มีใครต้องผ่าตัดซ้ำ ไม่มีใครไข้สูงกระฉูด แล้วท่านมีปัญหาอะไร นี่คือคำถามที่คาใจผมตั้งแต่เมื่อคืน

                ท่านเริ่มการสนทนากับผมเรื่องอาร์ลีน ท่านถามว่ารู้ใช่ไหมว่าอาร์ลีนมีปัญหากับอาร์เธอ คิดว่าใครมีปัญหา นี่คือคำถามแรก ผมต้องตั้งตัวอยู่พักหนึ่งจึงบอกไปว่า มีปัญหาด้วยกันทั้งคู่แหละ แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องบางเรื่องให้ท่านฟัง เรื่องที่อาร์เธอดุจนเกินเหตุ เรื่องที่เขาสามารถด่าใครก็ได้ในสถานที่ต่างๆ ส่วนเพื่อนชาวฟิลิปปินส์นั้นก็เป็นคนที่คิดว่าตัวเองทำงานหนักที่สุด แล้วพยายามมาบ่นเรื่องเหนื่อยหนักให้พวกผมฟัง ครูหาญบอกผมว่า ท่านรู้ว่าอาร์เธอเป็นคนยังไง ท่านถามผมว่าเขามีปัญหากับผมหรือไม่ ผมก็ตอบว่าไม่เคย แล้วกับดันดีล่ะ ผมก็บอกว่าดันดีก็ไม่เคยมาบ่นกับผมเรื่องอาร์เธอนะ นั่นแสดงว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน ท่านบอกผมว่าอาร์ลีนจะขอจบเพียง 9 เดือน เพียงเท่านี้ผมก็เดาได้แล้วว่าทำไมครูจึงโทรหาผมเมื่อคืน ท่านบอกว่าอาร์ลีนทนไม่ไหวแล้ว ในความเห็นของท่าน ท่านบอกว่าอาร์ลีนยังไม่สามารถผ่าตัดได้ดี กระทั่งการผ่าตัดมดลูกธรรมดาท่านก็ไม่สามารถให้ความไว้ใจได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เธอบอกครูเสมอว่าเธอผ่าตัดเก่ง ดังนั้นเธอจึงขอทำงานวิจัยแทน ขอครูทำหลายเรื่องแต่ไม่เสร็จซักเรื่อง แล้วก็ยังเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟังอีกมาก ท่านรู้สึกว่าเธอมาที่นี่เสียเวลาเปล่า เพราะแทบจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย เฮ้อ ผมหัวหนักตั้งแต่เช้าเลยนะเนี่ย

                จากนั้นผมก็ลงไปตรวจคนไข้ทันที ระหว่างทางเดินออกจากลิฟท์ก็เห็นอาร์ลีนกับอาร์เธอยืนคุยกันอยู่ ผมเลยหลบออกไป ทำงานต่อไปครับ ผมมาที่นี่เพื่อทำงาน

เช้านี้ผมได้ตรวจคนไข้คนหนึ่ง เธอบอกผมว่าสามีเป็นคนไทย เป็นสถาปนิกอยู่ที่นี่ เธอให้นามบัตรของสามีไว้ แล้วบอกผมว่านัดครั้งหน้าจะพามาให้พบผมด้วย ผมจบการทำงานในช่วงเช้าด้วยเสียงโทรศัพท์จากฝ่ายเภสัชกรรม บอกว่าผมสั่งยาให้คนไข้ซึ่งเขาแพ้ยาตัวนี้ เขาทำการทดสอบทันทีก็พบว่าคนไข้แพ้ยาจริง ผมก็สงสัยว่าทำไมจึงผิดพลาดขึ้นได้ จึงบอกให้เขาส่งคนไข้ลงมาพบผมหน่อย จากนั้นลินดาก็รีบหาแฟ้มมาให้ผมในทันที ผมพบว่า เธอมีประวัติแพ้ยาจริงๆ แต่การบันทึกเรื่องแพ้ยาตัวนี้อยู่ในที่ลับตามาก กล่าวคือ ปกติประวัติการแพ้ยาของที่นี่จะติดสติ๊กเกอร์สีแดงไว้แทบจะทุกหน้ากระดาษ ซึ่งคนนี้มีอยู่ในช่วงกลางๆของแฟ้มที่หนาประมาณ 2 นิ้วฟุต การบันทึกการตรวจครั้งแรกพบว่าไม่มีการแพ้ยา และคนไข้คนนี้เคยได้รับการสั่งยาตัวเดียวกันนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย และที่ผมพลาดไปมากก็คือ เขาได้รับการสั่งยาปฏิชีวนะจากหว่องฟุกไปแล้วด้วยยาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งผมมองไม่เห็นจริงๆ ก็เลยบอกป้าท่านว่า ตกลงว่าไม่ต้องเอายาไป ใช้ตัวเดิมแล้วเฝ้าดูอาการต่อไป หากยังไม่ดีขึ้นผมจะหายาตัวใหม่ให้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

               

ช่วงบ่ายก็เข้าห้องผ่าตัดเพื่อช่วยครูลี พบว่านี่กำลังเป็นผู้ป่วยคนสุดท้ายของวันนี้แล้ว แต่ก่อนจะล้างมือเข้าช่วย ก็มีโทรศัพท์ของผมดังขึ้น เจ๊ลินดาโทรมาบอกว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ลูกสาวของคนไข้ที่ผมสั่งยาผิดไปโทรศัพท์มาโวยวาย ต้องการพูดกับหมอที่สั่งยา ต้องการหนังสือแสดงความรับผิดชอบ แค่นี้ก็เล่นเอาผมเหงื่อตก แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี ลินดาบอกว่า เธอโทรมาด่าเสียงดังลั่นจนต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู นี่คือคำขู่แรก ตามมาด้วยการบอกว่า ให้ผมเตรียมคำตอบไว้ให้ดี

                นี่คือข้อเสียของระบบการจัดเก็บเวชระเบียนที่นี่ ที่ผมรู้สึกได้มานานแล้วครับ เพราะว่าเขาจะใส่กระดาษทุกแผ่น ทั้งประวัติผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน บันทึกผลการตรวจแล็บ ใบสั่งยาเก่าๆ ผมอยู่มานานเกือบ 6 เดือนแล้ว เวลาเปิดหาข้อมูลยังเล่นเอาตาลาย แล้วนี่เกิดสั่งยาที่เขาแพ้โดยไม่เห็นประวัติการแพ้ ผมว่าเป็นการผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองเลย ผมได้แอบคุยกับลุปน่าก่อนที่เธอจะออกไป เธอหัวเราะเล็กน้อยแล้วบอกผมว่า นี่เป็นเรื่องปกติของที่นี่ คนไข้ที่นี่เป็นอย่างนี้แหละ

                ผมเข้าไปช่วยครูลีตามปกติ เป็นมือที่ 3 เลยรู้สึกง่วงๆ อาร์ลีนเป็นมือ 2 ครูลีพูดว่า รู้สึกไม่คุ้นเคย เพราะส่วนใหญ่ท่านผ่ากับผม เราผ่าตัดจนกระทั่ง 3 โมงครึ่งก็เสร็จ ผมเห็นครูลีออกไปคุยกับอาร์ลีน ชะรอยจะทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมขี้เกียจฟังจึงออกไปก่อน มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นกว่านี้รออยู่

                ผมลงไปที่คลินิก ลินดาก็เข้ามารายงานทันที เธอบอกว่าคนไข้คนนี้ไม่มีปัญหา แต่ลูกสาวของเธอคือคนที่มีปัญหามากที่สุด เขาเคยด่าครูหาญด้วย เคยด่าหลายคนในคลินิกนี้ แค่นี้ผมก็แทบจะหัวใจหลุดออกจากอก แล้วนี่ผมต้องโทรไปคุยกับคนแบบนี้เหรอเนี่ย ผมใช้เวลานานมากในการหาความผิดพลาดของตัวเอง ซึ่งก็เป็นจริง เพราะมีการบันทึกเรื่องแพ้ยาอยู่จริงอยู่ที่บางหน้าของแฟ้มนี้ มีคนสั่งยาตัวนี้ให้คนไข้ด้วย แต่ก็ไม่มีบัญทึกของการแพ้แต่อย่างใด ตอนนี้คนที่นั่งอยู่กับผมก็มีไอชิง ลินดาและอาร์เธอ เขาแวะมาเป็นพักๆ เพราะว่าตรวจคนไข้อยู่ ไอชิงบอกผมว่ามี 2 ทางเลือกให้ผม หนึ่งก็คือโยนความผิดให้กับการไม่ระบุเรื่องแพ้ยาในที่ที่เห็นชัดเจน แต่นั่นก็อาจจะตามมาด้วยปัญหาอื่นๆอีก เราคงรู้กันดีว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองยังไม่อยากนึกเลย ทางเลือกที่ 2 คือรับผิดเสียเอง แบบนี้ผมแทบจะแทรกแผ่นดินออกไปเสีย ผมรำพึงว่ากลับบ้านพรุ่งนี้แล้วไม่กลับมาสิงคโปร์เลยดีกว่า ระหว่างนี้ลินดาก็ทำให้ผมเครียดเป็นระยะๆด้วยการพยายามถามปัญหาในกรณีที่อาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะถามมา ซึ่งผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงน่ะสิ

                ท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจสู้กับมัน (มันในที่นี้คือปัญหานะครับ ไม่ใช่สรรพนามแทนคนที่กำลังจะด่าผม) ประโยคแรกที่ผมพูดกับเขาก็คือ ผมคือใคร ขอโทษที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ เธอก็พ่นออกมาเป็นชุดๆด้วยสำเนียงอังกฤษอินตะระเดีย จากนั้นก็บอกเธอว่า ทำไมเราจึงเรียกให้แม่เธอมารับยา เราไม่แน่ใจเรื่องการแพ้ยา เพราะเราเห็นว่ามีการสั่งยาตัวนี้มาก่อน (นี่โกหกแล้วนา จริงๆแล้ว ผมหาประวัติการแพ้ยาไม่เจอต่างหาก) และยาตัวนี้ก็ดีกว่ายาที่แม่เธอกำลังกินอยู่ (อันนี้พูดจริง แต่ที่จริงกว่าก็คือ ผมไม่เห็นว่ามีการสั่งยาอื่นให้อยู่ก่อนแล้ว) ระหว่างนี้เธอก็พูดเสียงดังจนต้องเอาหูออกห่างจากโทรศัพท์ (จริงๆ) เธอพูดว่า รู้ว่าแพ้แล้วยังสั่งยาอีก ผมก็บอกว่าเราไม่แน่ใจต่างหาก นั่นจึงเป็นเหตุที่เราต้องทำการทดสอบ skin test (จริงๆแล้วเภสัชกรทำให้โดยที่ผมไม่ได้รู้เห็นด้วยต่างหาก) และตอนนี้เราก็ทราบแล้วว่า ท่านไม่สามารถใช้ยานี้ได้จริงๆ ผมจึงเขียนไว้ที่หน้าป้ายด้วยตัวอักษรโตๆเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้อีก เท่านี้เสียงเธอก็อ่อนลง ผมจึงถือโอกาสนี้บอกไปว่า ผมขอโทษจริงๆ (อันนี้ไม่ได้โกหกเลยครับ) เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร เสียงเปลี่ยนไปจากเดิมเห็นๆ แล้วเราก็จบการสนทนาลง

                ทันทีที่ผมวางหูโทรศัพท์ลง ทุกคนก็ปรบมือและไชโยโห่ฮิ้ว ผมโล่งอก โล่งใจ แต่ก็ยังคาใจไม่คลาย เพราะนั่นคือความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในหัวอยู่อีก ผิดที่สั่งยาที่เขาแพ้ไป ผิดที่ต้องโกหกบางส่วน ผมเลือกที่จะขอโทษก่อน เพราะนั่นทำให้ลดความโกรธของคนที่กำลังรุนแรงอยู่ลงไปได้เยอะ แต่ตอนนี้ขอดีใจก่อนนะครับ เฮ้อ จริงๆเลย

                คืนนี้ผมมีนัดกับเท้งอีกครั้ง หนุ่มมาร่วมวงด้วย หนุ่มอยากไปที่ Clarke Quay เราจึงไปเจอกันตอน 3 ทุ่มครึ่ง ตอนนี้กำลังมีเทศกาลเบียร์ จึงมีการแสดงดนตรีบนเวที ผมได้ยินเสียงเหมือนแตรวงเลยแจ้นเข้าไปดู เขากำลังเล่นดนตรีสไตล์เยอรมันอยู่ครับ สนุกมาก เราตัดสินใจนั่งที่นี่แหละ ดนตรีมันมาก เท้งไปซื้อขาหมูมากินกับไวน์ ผมกับหนุ่มดื่มเบียร์ ได้คนละแก้วจึงแยกย้ายกันไป                

สัปดาห์นี้เป็นความทรงจำที่ดีของผมเลยครับ ตะลึงตัวเองเหมือนกันที่สามารถพูดกับคนที่กำลังด่าเราได้ทางโทรศัพท์ด้วยภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ได้เจอกับคนไข้โรคจิต 4 คน ได้เจอกับคนที่มาลองของ 2 คน ได้เจอคนไข้คนไทย 1 คน ได้เจอเมียคนไทย 1 คน เพื่อนผมกำลังมีปัญหาเรื่องการทำงาน 2 คน

โอมายก๊อด สิงคโปร์
หมายเลขบันทึก: 138574เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2007 22:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)
  • สวัสดีค่ะ อาจารย์
  • แก้ปัญหาได้ดีมากเลยค่ะ
  • เวชระเบียน ดูเหมือนจะเป็นปัญหาไปทั่วในแถบนี้รึป่าวคะ
  • การลงประวัติ การแพ้ยาที่ไม่ชัดเจน และอื่นๆอีกมากมาย
  • ความสมบูรณ์ของเวชระเบียน ยังเป็นปัญหาใหญ่ค่ะ โรงบาล ป้าแดง ก็มีปัญหาในเรื่องนี้เหมือนกัน
  • คนไข้ก็ดูเหมือนจะคล้ายๆกันด้วยนะคะ ขี้โวยวาย
  • กลับบ้านเราไวๆนะคะ อีกไม่กี่วันแล้วค่ะ
  • ป้าแดงส่งกำลังใจมาช่วยการทำงานในต่างแดนทุกวันนะคะ :-))

สวัสดีครับพี่แดง P

แก้ปัญหาแบบนี้ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นักนะครับว่าดีจริงรึเปล่า เพราะมันดูเหมือนคนกะล่อนยังไงชอบกล (จริงๆแล้ว ผมก็กะล่อนนั่นแหละ แฮ่ แฮ่)

เรื่องเวชระเบียน ตอนนี้ผมรู้สึกว่า การบันทึกในคอมพิวเตอร์ดีกว่ามากในแง่ที่ว่า อ่านง่าย บันทึกบางอย่างช่วยเตือนได้อย่างดี เช่น การแพ้ยา

 

  • แวะมาให้กำลังใจค่ะ
  • หายเครียดหรือยังคะ
  • คุณหมอเผชิญหน้ากับความเครียดได้ดีมาก ๆ เลย
  • ถ้าไม่มีต้นทุนดี งานนี้คงลำบาก
  • ยินดีด้วย ที่ผ่านไปด้วยดี (อีกวัน)

ขอบคุณครับคุณกุ้ง คอกาแฟP

ต้นทุนดีสั่งสมมานานครับ นานราว 35 ปีเห็นจะได้แล้ว พ่อกับแม่สอนมาครับ ฮ่า ฮ่า (ไม่กล้าเอิ๊กๆ)

  • ตามมาดูมีสั่งยาผิดด้วยหรือครับ
  • มาทักทาย
  • กำลังจะไปปาย
  • ไปด้วยกันไหม
  • จะเที่ยวและทำงานเผื่อครับ

สวัสดีค่ะ

P

เรื่องที่เล่าก็น่าเครียดนะคะ แต่คุณหมอเก่งค่ะ รอดพ้นมาได้ด้วยดี

ผ่านไปอีก1วันแล้ว

เอาต้นว่านหางจรเข้มาฝาก เขาว่ามีสรรพคุณดีมากๆ คุณหมอเคยทานน้ำว่านไหมคะ

 

มาชื่นชมกับการยอมรับความผิดพลาดอย่างน่านับถือค่ะ เป็นแบบอย่างที่ดีของ"ครู"โดยเฉพาะ "ครูแพทย์ค่ะ อ.หมอแป๊ะ

สำหรับการสื่อสารกับญาติอย่างที่อาจารย์ทำ พี่ก็ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีมากนะคะ การพูดความจริงที่ไม่สร้างให้เกิดความเข้าใจอันดี ก็ไม่ใช่การสื่อสารที่ดี พี่โอ๋เชื่อในความตั้งใจจริงมากกว่าความตรงไปตรงมาที่ไม่เข้าท่าค่ะ อ่านจบแล้วอยากช่วยโห่ร้องปรบมือให้ด้วยคนค่ะ ถือว่าอ.หมอแป๊ะสร้างชื่อเสียงให้คนไทยด้วยนะคะนี่ เยี่ยมจริงๆ

สวัสดีค่ะคุณหมอแป๊ะ

  • นับว่า..คุณหมอเป็นบุคคลที่ สุขุมนะคะ
  • การใช้ภาษาอื่น  ทำให้เราเบาไปด้วยใช่ไหมคะ
  • ครูอ้อยเคยพูดไม่ออก  เวลาจะกล่าวคำลาน่ะคะ..ยากนักที่จะกล่าวคำ....ลา
  • คุณหมอเก่งมาก  กลับเมืองไทย  คงจะได้มีโอกาสพบกัน  วันขับรถไฟนะคะ

จะรอวันนั้นค่ะ

หวัดดีค่ะอาจารย์

สัปดาห์นี้พี่จะไปถึงสิงคโปร์วันที่ 17 ประมาณบ่ายสามโมงนะคะ อาจารย์ว่างหรือปล่าวตอนเย็น พี่พักที่ Marina Mandarin ค่ะ  ส่วนจะไปทานกันที่ไหนต้องให้อาจารย์เลือกแล้ว แถวๆ Suntec ก็ได้ค่ะ พี่ประชุมวันที่ 18 และ 19 ถ้าอาจารย์ไม่สะดวกวันที่ 17 จะเป็น 18 ก็ได้นะคะ ส่วน 19 ประชุมเสร็จพี่จะกลับเลยค่ะ

สัปดาห์หน้าจะไปสิงคโปร์อีกที วันที่ 23 กลับ 25 และสัปดาห์ถัดไป วันที่ 31 กลับ 2 ค่ะ

อาจารย์วิชัยบอกว่าจะไปวันที่ 29 ค่ะ แล้วคุยกันนะคะ

 

สวัสดีครับอาจารย์ขจิตรูปงาม P

ท่านเล่นมาชวนแบบนี้ ถ้าผมไปได้นี่ เตรียมเผ่นได้เลยครับ

อยากไปปายครับ แต่ยังติดภาระกิจ ผมส่งน้องสาวคนสุดท้องไปเที่ยวแทน ปลายเดือนนี้

ขอบคุณครับคุณศศินันท์ P

น้ำว่านหางจระเข้เคยกินครับ ที่สิงคโปร์ก็ได้กิน เพราะมันชื่นใจ ยิ่งผสมเนื้อว่านด้วยแล้วยิ่งชอบใหญ่ เสียอย่างเดียวมันแพงไปนิด

เรียกว่ากินพวกเดียวกันครับ ผมมันเป็นจระเข้ขวางคลองครับ 555

ขอบคุณครับพี่โอ๋ P

ตอนนั้นคิดไม่ออกหรอกครับว่า ดีใจ เสียใจ สะใจ ฯลฯ

ตัวเย็นไปหมด อยู่เมืองไทน เราไม่เคยถูกด่าแบบนี้ หรือว่าเราไม่เคยเจอคนประเภทนี้ก็เป็นได้

คนไทยเราประนีประนอมกว่าเยอะครับ

ที่นี่เขาเอากันจนแหลกไปข้างหนึ่ง

การรับผิดและขอโทษนั้นไม่ได้เป็นการเสียเกียรติเลยครับ เราต้องทำให้เป็นครับ

แค่พูดออกไปนิดเดียว อาจจะเปลี่ยนเรื่องที่รุนแรงให้ลดน้อยลงไปได้ ในช่วงเวลาแบบนี้ การมีแต่ทิฐิมีแต่เสียนะครับ พี่ว่ามั้ย

ครูอ้อยที่เคารพครับ P

นั่นแสดงว่ามีคนเลี้ยงลูกให้ผมแล้วน่ะสิ 5555

การใช้ภาษาที่เราไม่คุ้นเคยนั้นเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง มันอาจจะเป็นความเสี่ยงด้วยซ้ำหากการสื่อสารนั้นถูกแปลความผิดไป ผมกลัวที่สุดเลยนะครับ

ผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าจะสุขุมแบบที่ครูอ้อยพูดหรือเปล่า เพราะแต่ก่อนนั้น ใจร้อน ชน เจ็บกัน เพิ่งมาช่วง 4-5 ปีนี้นี่แหละที่เย็นลงบ้าง

แม่ผมเป็นห่วงเรื่องนี้ของผมเสมอครับ เมื่อวานกลับบ้าน แม่ยังเตือนอยู่เลยครับ

พีปุ้ยครับ

ยินดีที่พี่มาเยี่ยมนะครับ ทั้งเยี่ยมใน blog และเยี่ยมที่สิงคโปร์

แล้วจะล้างท้องรอนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท