สวัสดีครับ คุณพี่นุช
มาขอแก้คำผิดครับ
- คนตายแล้วจะเอาเนื้อ กระดูกมาทุบให้ แร้ง ให้เหยี่ยวกินด้วย (ข้อนี้ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่าไม่ทราบ)
น้ำลดแล้วมาเขียนเล่าอีกนะครับ..ขอบคุณครับ
เมื่อวานบ่ายน้ำขึ้นเร็วมาก เช้านี้ยิ่งขึ้นมาอีก อ่านหนังสือพิมพ์เจอว่าทางนายกเทศมนตรีพระนครศรีอยุธยาตำหนิว่าผู้เกี่ยวข้องกับการควบคุมะดับน้ำไม่มีการบอกเตือนเลย ในตัวเมืองนั้นรับน้ำจากหลายสาย ที่บ้านยังเป็นจากแค่เขื่อนป่าสัก ซึ่งก็ไม่ได้บอกเตือนอะไรหมือนกัน สงสารคนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง
เลยคิดว่าหากน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆเดี๋ยวจะเลียบยูนนานไม่จบทริป เลยตั้งใจเขียนให้จบวันนี้ ไม่ต้องห่วงนะคะที่บ้านยังพอไหวอยู่
...........................................................................................
คณะเดินทางออกจากลี่เจียง ณ จุดโค้งแรกแม่น้ำแยงซี มาจนเข้าเขตชายขอบที่ราบสูงธิเบต ในเขตที่เรียกว่า "เขตปกครองตนเองชนชาติธิเบตแห่งตี๋ชิง" ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองจงเตี้ยน ภูมิประเทศส่วนนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชาติธิเบต เขตจังหวัดตี๋ชิงนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของมณฑลยูนนาน ติดที่ราบสูงธิเบต และเป็นรอยต่อกับมณฑลเสฉวน
เราอยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ๓๓๐๐ เมตร อาการ Altitude Illness ส่งผลค่อนข้างชัดกับหลายคนในคณะ รวมทั้งผู้เขียน มีตั้งแต่เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ผะอืดผะอม ไมเกรนกิน
(ภาพจากหนังสือ Yunnan, A Land of Multiple Colors)
คำว่า"จง" นั้นหมายถึงศูนย์กลาง หรือสิ่งที่กว้างใหญ่อันเป็นศูนย์กลาง ส่วน"เตี้ยน" นอกจากจะแปลว่าทุ่งหญ้าแล้ว ยังอาจแปลว่า อาณาจักร ได้ด้วย
ความที่ดินแดนที่ราบสูงธิเบตมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรล้ำค่าจากธรรมชาติ แต่เข้าถึงยาก ทำให้เป็นเหมือนดินแดนต้องห้าม และประตูแห่งจงเตี้ยนยังปิดตายจากสายตาโลกภายนอกตลอดช่วงที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อะไรที่เขาห้ามเนี่ย ดูช่างท้าทายให้ค้นหา ประจักษ์แก่สายตาตนเองให้ได้
เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษได้จินตนาการถึงดินแดนราวเมืองสวรรค์แห่งหนึ่งชื่อ "แชงกริ-ล่า Shangri-La" ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ในเมืองนี้อากาศราวฤดูใบไม้ผลิทั้งปี ขณะที่ภายนอกมีแต่หิมะหนาวเหน็บ ผู้คนมีความสุขสบาย ไร้กังวล ชีวิตที่มีกายกับจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เจมส์ ฮิลตันจึงเขียนนิยายชื่อ The Lost Horizon ในปี ค.ศ. ๑๙๓๓ แล้วฮอลลีวูดนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ๑๙๔๔ ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างฝันหาดินแดนนี้กัน จนทำให้คำว่า Shangri-La นี้มีความหมายถึงเมืองทางอุดมคติบนผืนโลก หรือ Utopia
จากนั้นใครๆก็พากันเสาะหาว่าดินแดนจุดใดของที่ราบสูงธิเบตที่เป็นแรงบันดาลใจให้เจมส์ ฮิลตัน เขียนนิยายเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่จีนในยุค Visit China Year จึงไม่รีรอที่จะโหนกระแสนี้และระบุหลายจุดทีเดียวที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเมืองแมนแดนสวรรค์ แน่นอนที่"จงเตี้ยน" ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนชื่อเมืองจงเตี้ยน (อีกครั้ง จากเดิมที่มีชื่อในภาษาธิเบตว่า เจี้ยนถัง)เป็น "แชงกริ-ล่า" ให้ชัดๆเป็นทางการซะเลยแน่ะ แต่ภาษาจีนเขาออกเสียงว่า "เซียงเกอ หลี ลา" - Xiang Ge Le La แปลว่า ที่ซึ่งสุริยันจันทราประทับในดวงจิต
นี่ยังไม่ได้เข้าในเมืองจงเตี้ยน แต่ภาพนี้สวยพอที่จะทำให้จินตนาการว่าเป็น แชงกริ-ล่า ที่เห็นแต่ไกลเป็นจุดสีทองคือ วัดธิเบต "ซงจ้านหลิน" ที่เราจะแวะกันก่อน (ภาพจากหนังสือเล่มเดียวกัน) มองแต่ไกลงามสง่าละม้ายคล้าย พระราชวังโปตาลา ที่กรุงลาซา ของธิเบต
ถ่ายภาพผ่านหน้าต่างกระจกรถที่กำลังแล่นเข้าใกล้วัดซงจ้านหลิน ท่ามกลางสายฝน วัดนี้สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ ๕ ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมอันอลังการน้องๆพระราชวังโปตาลา เลยได้อีกสมญาว่า Little Potala ผู้เขียนเลยคิดในใจว่าดีแล้วที่มาเห็นที่นี่ สังขารคงลากไปไม่ถึงพระราชวังโปตาลาต้นแบบแน่ๆ
วัดนี้เขาพามาชมเพราะเป็นวัดนิกายลามะแบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน อายุเก่าแก่กว่า ๓๐๐ ปี กว่าจะไต่บันไดขึ้นไปนมัสการ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ก็พักไปเป็นระยะ เขาให้ทำอะไรช้าๆ ไหว้เสร็จออกมานั่งพักมองดูพระวัยรุ่นห่มจีวรสีออกแดงน้ำตาล ใส่รองเท้าผ้าใบไนกี้ เดินกันจีวรปลิว
ออกจากวัดจึงเข้าสู่ตัวเมืองจงเตี้ยน
แม้ผู้คนที่เราพบเห็นจะยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรมาก โดยเฉพาะไกด์สาวท้องถิ่นที่ใส่เสื้อผ้าแบบพื้นเมืองธิเบตประยุกต์เข้ากับกางเกงยีนส์และบูทสูง แต่ตัวเมืองจงเตี้ยนนั้นช่างไร้เสน่ห์แห่งธิเบตอย่างสิ้นเชิง เห็นแต่ตึกแถวแท่งๆแบบจีนๆ ไม่มีวิสัยทัศน์เรื่องความงาม คุณธีรภาพ โลหิตกุลใช้คำว่า"สถาปัตยกรรมที่ดูไร้รสนิยม" ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เพราะฉนั้นความงามของแชงกริ-ล่า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจงเตี้ยนแน่นอน นักท่องเที่ยวฝรั่งมักมาที่จงเตี้ยนเพื่อเป็นจุดเดินทางต่อไปยังธิเบตโดยเครื่องบิน
อย่างไรก็ตามที่นี่เขาก็มี"เมืองโบราณจงเตี้ยน" ที่รัฐบาลจีนบูรณะให้งดงามจากการมองเห็นความสำเร็จของ"เมืองโบราณต้าหยัน" ที่ลี่เจียง แต่เป็นการพยามสร้างขึ้นใหม่ในแบบโบราณ ของเก่าเหลือแค่บ้านชาวธิเบตที่อายุ ๔๐๐ ปี หลังเดียวที่รอดจากน้ำมือพวกเรดการ์ด ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม โธ่เอ๋ย ที่รอดมาได้ก็เพราะพวกเรดการ์ดใช้เป็นที่พัก
แวะเดินชมเมืองโบราณ(ปลอมๆ) แล้วก็พากันเดินลึกเข้าไปถึง วัดต้าฝอ อยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองโบราณจงเตี้ยน ไกด์บอกว่าให้ไปร่วมหมุน "กงล้อมนตราทองคำ" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนัก ๖๐ ตัน สูง ๑๙ เมตร จารึกบทสวดมนต์ ๑๒,๔๐๐ ล้าน ตัวอักษร
ตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานตันตระแบบธิเบตนี้ เขาบอกว่าการหมุนกงล้อที่เป็นแท่งเหล็กจารึกบทสวดมนต์นี้เปรียบเสมือนได้สวดมนต์โดยไม่ต้องสวดเอง ใช้วิธีลัดก็ได้บุญ ดังไปถึงสวรรค์นั่นแน่ะ
นี่กงล้อมนตราแบบธรรมดา วัดใกล้ๆที่เราไปชมต้นชาภูเขาหมื่นดอก ตอนที่แล้ว
และนี่กงล้อมนตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้เปรียบเทียบกันดู
เขามีแกนให้จับแล้วช่วยกันหมุน ผู้เขียนหมุนไปยังไม่ได้รอบเลย ต้องขอลา ฝนตกคนมาหมุนน้อย ไม่ไหวค่ะ
กลางคืนเขาพากันไปชมระบำธิเบต และลิ้มรสสุกี้ธิเบตที่ลือว่าเผ็ดร้อนกว่าอาหารไทย ผู้เขียนป่วยขนาดอาเจียน ไม่ได้ไปกับคณะ นอนหยอดน้ำซุปเกี๊ยวที่โรงแรมที่พักในเมืองจงเตี้ยนซึ่งหรูมาก
วันรุ่งขึ้นบินกลับลงไปที่คุนหมิง เพื่อต่อเครื่องกลับกรุงเทพ ลงมาที่ต่ำแค่ ๑๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล อาการป่วยหายเป็นปลิดทิ้ง มีฝนมากมาย ไม่สมกับที่ชื่อว่า "เมืองที่มีฤดูใบไม้ผลิตลอดปี" ความเจริญของคุนหมิงนั้นน่าทึ่ง และมีคนบอกว่าอสังหาริมทรัพย์แพงกว่ากรุงเทพเสียอีก
กลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบการเดินทางสู่เมืองแมนที่ปลายฟ้า
เห็นแล้วน่าทึ่งประเทศอะไรหนอสุดประเสริฐเช่นนี้ มีทั้งทุนทางทรัพยากรมากมายหลากหลายดูได้จากหลากหลายพื้นที่แต่ละมณฑล แถมทุนทางวัฒนธรรมที่ทำอย่างไรก็ไม่หมดบรรพบุรุษช่างดูแลจริงจังอย่างดีแม้เวลาเปลี่ยนลัทธิเปลี่ยนจิตสำนึกในการดูแลรักษษขนบธรรมเนียมประเพณีไม่มีเปลี่ยน ท้างสุดยังมีทุนทางปัญญาอันเลศสุดที่ดูแลอนุรักษ์ทรัพยกร และวัฒนธรรมจนกลายเป็นมรดกโลกเต็มไปหมด
คนมักว่าเขาดูคนไม่ดีแต่เขาก็มีกินคนนั้นมากกว่าเรายี่สิบเท่ารัฐบาลเขามี 29 คนมณพลเปอเรอะเปอเต๋อเอ้อเฮอยังดูแลได้ทั้งหมด กลับมาระทดที่นี่เอง เฮอ
เกิดกิเลสอยากเที่ยวขึ้นมาละ ทำไงเนี๊ยะ อิ อิ
คนข้างกายพี่ละเห็นเป็นไม่ได้ อยากไป อยากไป...
ขอบคุณครับ ชอบจัง
สวัสดีครับ
จบทริปแล้วเสียดายครับ
เมืองจีนมีเสน่ห์น่าประทับใจมากมายจริงๆ ทั้งสถานที่ทั้งคน
ขนาดผมไปทำงานในชนบทแถวริมแม่น้าแยงซีเกียง ยังประทับใจไม่รู้ลืม ได้แวะเที่ยววัดสือเป่าไจ้ที่เดียว ปีหน้าน้ำจากเขื่อนสามผาคงท่วมเหลือแต่เจดีย์แล้วครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์เอก ขอบคุณที่แวะมาให้ได้รู้จักกันนะคะ จีนเป็นประเทศที่น่าทึ่งจริงๆ น่าทึ่งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันนะคะ
ความไพศาลของประเทศที่ทำให้การไปมาหาสู่ การเข้าถึงได้ยากอาจเป็นจุดที่ทำให้คนในถิ่นยังสามารถรักษาวัฒนธรรมประเพณีไว้ได้มากอยู่ แต่ในเมืองที่พัฒนาอย่างรวดเร็วคนรุ่นใหม่ไม่สนใจทุนวัฒนธรมที่มีเท่าไหร่ มีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังดำเนินชีวิตที่ยึดประเพณีเดิม หมดรุ่นคนแก่คงแย่เหมือนกัน ที่จริงสิ่งนี้คงเหมือนกันทุกประเทศที่ตื่นเต้นกับของใหม่ ที่เปิดประตูสู่ชีวิตรูปแบบใหม่ค่ะ เคยไปเมืองหังโจวและซูโจว เมืองพัฒนาแบบสมัยใหม่มากแค่ในช่วงสิบกว่าปีเท่านั้น เพื่อนคนจีนบอกว่า คนรุ่นหลังไม่รู้เลยว่าคนรุ่นก่อนลำบากอย่างไร
รัฐบาลจีนเขาใช้ความพยายามมากในการมีระบบการปกครองสำหรับชนเผ่ากลุ่มต่างๆ น่าสนใจวิธีคิดของเขามากค่ะ มันมีทั้งการให้อิสระเป็นเขตปกครองตนเองและการควบคุม มีนโยบายสำคัญมาจากส่วนกลาง
อิ อิ ก็เขียนให้คนชอบเรียนรู้โลกกว้างอย่างพี่บางทราย อยากไปเที่ยวบ้างน่ะซีคะ เมืองจีนอยู่ใกล้ๆ ค่าใช้จ่ายก็พอไหว เหลือแต่ต้องจัดสรรเวลานี่ล่ะค่ะ ตรงนี้ไม่มีใครสู้นักวิชาการอิสระได้เลย อิ อิ มีแต่คนข้างกายคอยปรามอยู่เรื่อยว่า เที่ยวจริง ไม่เคยไปหรืออย่างไร
คุณpaleeyon ได้เห็นประเทศจีนส่วนนั้นแบบไม่ใช่นักท่องเที่ยวคงมีเรื่องประทับใจเยอะนะคะ รัฐบาลจีนเข้ามาดูเรื่องการท่องเที่ยวมาก เมืองท่องเที่ยวใหญ่มีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวมากมาย แม้บางทีก็ชอบเพราะสะดวกดีโดยเฉพาะเรื่องห้องสุขา แต่ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่จีนก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรม หรือการอนุรักษ์นัก ก็ทำแบบแข็งๆ ไร้ชีวิตค่ะ
เคยดูสารคดีการสร้างเขื่อนสามผากับการจัดการหมู่บ้าน โบราณสถานที่อยู่ในเขตที่น้ำจะท่วม เห็นแล้วเศร้าใจไม่เพียงแหล่งโบราณสถานจะสูญหายแต่สิ่งแวดล้อมที่จะเปลี่ยนไปตลอดการนี่ซิคะ ผลกระทบนั้นมาถึงเราแน่นอน
ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบทริปค่ะ ว่าจะลองคัดที่ๆเคยไปแต่คนไทยไม่ค่อยนิยมไปนักมาทยอยเขียนด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะพี่นุช
ถ้าดูจากเมืองแล้วที่สวยที่สุดคงเป็นวัดกับภูมิทัศน์นะคะ เสียดายจังค่ะที่ไม่เห็นรูปพระห่มจีวร สวมรองเท้าไนกี้..น่าจะเท่ห์มากๆเลยนะคะ ^ ^ เบิร์ดชอบความหมายของคำว่า "แชงกริ-ล่า" ที่แปลว่า ที่ซึ่งสุริยันจันทราประทับในดวงจิตจังค่ะ เวลาสุริยันขึ้น - ตก จันทราลอยเด่นสกาวคงสวยพราวน่าดูนะคะ
สูงตั้ง 3300 เมตร ..อากาศบางมากเลยนะคะพี่นุช สำหรับคนพื้นราบอย่างเราถือว่าลำบากเอาเรื่องเลยเนาะคะ ดีใจที่พี่นุชหายป่วยแล้วนะคะ น้ำซุปเกี๊ยวอร่อยมั้ยคะ จากนอนหยอดน้ำข้าวต้ม กลายเป็นนอนหยอดน้ำซุปเกี๊ยวก็กิ๊บเก๋ดีนะคะ ^ ^
ช่วงหลังออกพรรษาน้ำเหนือจะบ่าลงไปอีก คงต้องเตรียมพร้อมกันอีก เค้ามีคำกล่าวไว้ว่าเดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรงใช่มั้ยคะ ตอนนี้ก็เดือนสิบเอ็ดคงต้องนองกันตามคำโบราณกล่าวมาเนาะคะพี่นุช
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆที่ชวนให้อยากเที่ยวค่ะ ^ ^
สวัสดีค่ะ
อ่านเพลินมาก จบเสียแล้ว
มีเพื่อนไปธิเบต ปรากฏว่า ไปป่วยค่ะ อากาศบางมาก เขาไม่ชิน แต่ก็สวย
อ่านแล้วนึกถึง ดร.กฤษฏาวรรณ หงลดารมณ์ค่ะ พูดธิเบตเก่งมากค่ะ
ที่บ้านพี่เคยมีโอกาสต้อนรับพระธิเบตด้วยค่ะ
และได้อ่านหนังสือศาสนาพุทธ ทางมหายานบ้างค่ะ หลักการก็คล้ายกันค่ะ
สวัสดีค่ะคุณเบิร์ด คุณธีรภาพ เธอเขียนเล่าว่าออกมานอกเมืองจงเตี้ยน ขึ้นไปบนเนินเขาดูพระอาทิตย์ตกดินสวยงามมาก ความน่ารักของผู้คนทำให้ความหมายแห่ง"แชงกริ-ล่า"ประทับอยู่ในดวงจิต เพราะฝนที่บดบังความงามของที่ต่างๆที่เราไป แต่การที่ไกด์ดีเล่าเรื่องราวเป็นทำให้เราไม่รู้สึกแย่นักที่ไม่ได้เห็น อย่างที่ควรจะได้เห็น
จงเตี้ยนเป็นที่ซ้อม ทดลองร่างกายว่าจะไปธิเบตไหวมั้ยค่ะ สูงกว่าตั้งอีกเกือบเท่าหนึ่ง แค่นี้พี่ยังจะแย่ซะแล้ว
น้ำซุปเกี๊ยวก็ช่วยให้ร่างกายได้สารอาหารบ้าง ความอร่อยไม่ต้องนึกถึงเลยค่ะ แม้อร่อยก็ไม่รู้สึกอร่อย เวลาป่วยนะคะ
อีกตั้งหลายวันกว่าจะออกพรรษา ตอนนี้น้ำก็ขึ้นเยอะมากๆ ป้านวลต้องพายเรือเก็บฟัก เก็บมะละกอทั้งหมด เพราะน้ำท่วมถึงแล้วค่ะ รอดูอีกสองวันหากน้ำยังขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้ เราก็จะขนของชั้นล่างขึ้นแล้วและย้ายระบบไฟฟ้าด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์ อากาศที่บางมาก หากร่างกายแข็งแรงไม่พอ และลืมตัวเคลื่อนไหวเร็วอย่างปกติก็ต้องป่วยแน่ๆค่ะ คลื่อนไหวช้าๆก็ดีเหมือนกันนะคะ ได้ค่อยๆดู ไม่ต้องรีบเร่ง
ดร.กฤษฎาวรรณ เก่งจริงๆค่ะ ภาษาธิเบตไม่ใช่จะเรียนกันได้ง่ายๆ เคยอ่านบทสัมภาษณ์ท่านในนิตยสารค่ะ
นุชก็ไม่ชำนาญเรื่องนิกายมหายานของธิเบตเท่าไหร่ค่ะ แต่เท่าที่ทราบพิธีกรรมก็ต่างจากมหายานในไทยอยู่มาก(ญาติธรรมที่ชำนาญเรื่องพุทธศสนาตอนนี้ไปท่องฝรั่งเศสอยู่ค่ะ เลยไม่มีคนให้ถาม)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
อ่านเพลินเลยค่ะพร้อมกับจินตนาการไปด้วยค่ะ
อาจารย์เพิ่งกับจากการเดินทางพักผ่อนนะค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับเรื่องเล่า ดี ๆ จากเมืองจงเตี้ยนค่ะ
สวัสดีครับ คุณพี่นุช
น้ำลดแล้วมาเขียนเล่าอีกนะครับ..ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณพี่นุช
มาขอแก้คำผิดครับ
น้ำลดแล้วมาเขียนเล่าอีกนะครับ..ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณปริญากรณ์ ยูนนานนี่ไปมาตั้งหลายเดือนแล้วค่ะ เพิ่งได้ฤกษ์เล่า ดีใจที่ชอบเรื่องเล่านี้ค่ะ
ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ
ขอบคุณค่ะคุณธวัชชัย ที่แวะมาอ่าน ดิฉันก็ชอบอ่านและชมรายการพวกท่องเที่ยวในDiscovery Channel ได้เห็นภูมิทัศน์แปลกๆ วิถีชีวิตแปลก มันน่าสนใจมากค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสังขารของตน หากมีโอกาสควรได้เดินทางท่องเที่ยวบ้างตอนอายุยังไม่มาก ร่างกายแข็งแรงอยู่ค่ะ
สวัสดีค่ะคุณสะ-มะ-นี-กะ
เมืองจีนมีสิ่งชวนให้เรียนรู้มากมาย หนังจีนกำลังภายในพี่ชอบดูมากค่ะ แล้วเคยดูสารคดีอย่างกาฝึกแบบวัดเส้าหลิน ทำให้คิดว่าเรื่งกำลังภายในน่าจะเป็นไปได้ แม้จะไม่ใช่อิทธิฤทธิ์มากอย่างในหนัง
คนธิเบตนั้นมีศรัทธาสูงมากในศาสนา ที่ว่าคืบคลานขึ้นไปวัดนั้นที่จริงคือกาไหว้แบบที่ต้องเอาตัวทาบไปกับแผ่นดิน เขามีคำเรียกเฉพาะด้วยนะคะ แต่พี่ลืมไปแล้วล่ะ คงเป็นเพราะพระที่บวชนั้นต้องปฏิบัติเคร่งครัดจริงๆ และบวชแบบไม่สึกด้วย
คำถามของคุณเรื่องพิธีศพคนตายดีมากค่ะ ทำให้ต้องเขียนอีกตอนว่าคนธิเบตนั้นมีความคิดสูงส่งกับเรื่องธรรมชาติมาก เช่น การเกิด การตาย การบูชาน้ำว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้ตอบก่อนว่าใช่ค่ะที่เขาจัดการคนตายแบบนั้น ยังทำเช่นนั้นอยู่
เสียดายจังที่คุณสะ-มะ-นี-กะ กับคุณครูอ้อย มาใกล๊ ใกล้ บ้านพี่แล้วไม่มีโอกาสพบกันเนาะ
ได้ค้นเรื่องเกี่ยวกับพิธีศพแบบธิเบต มากกว่าที่ได้รู้มา น่าสนใจมาก และไปเจอบล็อกต่างประเทศมีรูปประกอบดีมากเลยค่ะ พรุ่งนี้อาจได้อ่านนะคะ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ยูมิ วัฒนธรรมทางตะวันออกมีอะไรลุ่มลึกและน่าพิสวงให้เราได้ประหลาดใจเมื่อไปพบเห็นเสมอนะคะ การท่องเที่ยวเป็นการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่ดีมากเลยนะคะ
โอ้โห อาจารย์ได้ไปขึ้นหิมาลัยมาแล้ว บรรยากาศของเมืองธรรมศาลาคงสงบงาม อาจารย์ได้เขียนถึงหรือลงรูปไว้บ้างหรือยังคะจะได้ตามไปเก็บความรู้ค่ะ
มาเยี่ยม
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ยูมิขอบคุณที่ส่งข่าวว่าจะอดชมภาพ เสียดายนะคะ ไม่ใช่จะมีคนได้ไปที่นั่นกันมากนัก แต่ความทรงจำดีๆคงอยู่ในใจไม่รู้ลืม
ตอนต่อๆไปว่าจะเขียนเรื่องการอาบน้ำของชาวธิเบต คิดไม่ถึงเลยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณgutjang ขอบคุณที่มาแวะอ่าน ดีใจที่เรื่องราวให้ความเพลิดเพลินนะคะ
เราก็เลือกไปเที่ยวที่เราไหวซีคะ ที่ไปยากลำบากก็ปล่อยคนอื่นให้ไปผจญภัยแล้วนำรูปและเรื่องมาฝากเราดีกว่า อย่างธิเบตนี่ตัวเองลั่นวาจาเลยค่ะว่าไม่ไปหรอก(ถ้าต้องออกเงินเอง อิ อิ) อายุเป็นเพียงตัวเลขในใจ แต่สังขารเนี่ยมันฝืนกันไม่ได้ค่ะ
สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าคะ รักษาสุขภาพนะคะช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยน
แล้วจะไปเยี่ยมที่บล็อกคุณอีกค่ะ
พี่สบายดีค่ะอาจารย์ขจิต ขอบคุณที่ส่งคำทักทายมาไกลจากปายเชียว
ทำงานบ้าง พักบ้าง อย่าหักโหมเดี๋ยวจะป่วยเอานะคะ รักษาสุขภาพด้วยอากาศทางปายคงหนาวกว่าที่อยุธยาแน่ๆ
น้องซูซาน มีชื่อจีนที่เพราะมากๆเลย ตามไปอ่านแล้วค่ะ ก็หาชื่อจีนให้คนใกล้ตัวเอาไว้ใช้เวลาควงกันไป Xiang Ge Le La ก็ได้นี่คะ
พี่ก็มีชื่อจีน ตอนไปประชุมที่ปักกิ่งมีคนตั้งให้เรียกง่ายๆว่า Yun เห็นว่าแปลว่าก้อนเมฆสีขาวอะไรทำนองนั้น อิ อิ ทั้งๆทีเราผิวสีกาแฟใส่นมน้อยไปหน่อย แต่จะบอกให้ว่าคนเหนือเขาเรียกผิวอย่างพี่ว่าผิวสี "ตุ๊เจ้าไห้สึก" บาปชะมัด
ว้าว ได้รับซองมาจากน้องซูซานพอดีเลย ชุดโปสการ์ด "สามชุก ตลาด ๑๐๐ ปี" เขาทำได้ดีมากนะคะ ขอบคุณที่นึกถึงกันเช่นนี้
สวัสดีค่ะอาจารย์นารีรัตน์ หากอากาศดีคงจะสวยมากๆ ที่สำคัญคือสุขภาพเราต้องดีมากนะคะถึงจะสู้ไหว อย่างอาจารย์ไหวอยู่แล้ว อายุยังไม่มากและคล่องแคล่ว
ขอบคุณที่มาตามอ่านค่ะ
ปีที่แล้วน้องสาวเอชวนไปจงเตี้ยน
บังเอิญเกิดปัญหาเรื่องระหว่างจีนกับทิเบต
เลยอดไปค่ะ ฮือๆๆ
มาอ่านที่ blog ของพี่นุชก็แล้วกันค่ะ อิอิ (เที่ยวทางลัด)
เที่ยวทางลัดก็สบายดีค่ะน้องเอ แม่นีโอ ^__^ ทัวร์ไปจีนนั้นมีตลอดปี มีให้เลือกหลายบริษัท เดี๋ยวเขาเลิกตีกันแล้วค่อยไปก็ได้นะคะ
ได้ไปแชงกริล่าโดยพาคุณแม่สามีอายุ 82 ไปด้วย คิดว่าท่านมีโอกาสป่วยหรือไม่ไหวได้ แต่ปรากฏว่าเป็นเราเองที่อาเจียนและท้องเสียและปวดหัวสุด ๆ อย่างไรก็ได้ไปดูหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน และพอบินกลับมาถึง altitude ต่ำกว่าคือคุนหมิงอาการก็หายไปเลยจริง ๆ ค่ะ แหมเลยเที่ยวเกือบหมดสนุก (เพิ่งไปมาเอง 15-20 ตค เจอฝนที่เมืองเก่าลี่เจียง เลยไม่ได้สัมผัสความงามเลย)สุมลรัตน์