ชาวเพลงของผม
เป็นศิลปินชื่อดัง
เข้ามาขอฝึกหัดเพลงพื้นบ้าน
ตอนที่ 3 (กล้าที่จะฝึกหัด)
สวัสดี ครับ อาจารย์ “ผมมาช้าไปหน่อย ขออภัยท่านอาจารย์ด้วย ผมมีภารกิจส่วนตัวด้วย ในตอนเย็น จะต้องไปทำบุญต่อที่สองพี่น้อง” ผมเชิญให้คณะของศิลปินทั้งหมด 4 ท่าน เข้าไปนั่งในห้องฝึกซ้อมเพลงพื้นบ้าน เด็ก ๆ ทั้งหมดหยุดการฝึกซ้อมยกมือไหว้ทักทายแขกที่มาหาผมด้วยอัธยาศัยที่ดี ตามธรรมเนียมของคนไทย
แขกของผมคนนี้ มีความเป็นพิเศษหลายด้าน ด้านการศึกษาเขาเรียนจบพาณิชยศิลป์ จากสถาบันเพาะช่าง ที่เดียวกับที่ผมสอบเทียบความรู้ได้ (พ.ม.ช.หรือ วาดเขียนเอกเดิม) ได้มาเมื่อปี พ.ศ. 2521 เขาเป็นนักแสดงละคร ภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เป็นนักเขียนชื่อดังและเป็นนักพูดที่เก่งมากคนหนึ่งของเมืองไทย ส่วนงานด้านร้องเพลงไม่ได้ยึดเป็นอาชีพ แต่ทำไมในวันนี้ เขาจึงเดินเข้ามาสู่วงเพลงพื้นบ้าน เขามาเพื่ออะไรกันแน่ (เป็นเรื่องส่วนตัวที่มิอาจรู้ได้)
ศิลปินผู้นี้จะมาเพื่ออะไรนั่นมิใช่เรื่องสำคัญ แต่ว่าบ่ายวันที่ 10 ตุลาคม 2550 ผมคงต้องบันทึกเอาไว้ในความทรงจำว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ที่ผมได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในวงการเพลงพื้นบ้าน ที่ใคร ๆ เขาว่าตกต่ำ กำลังจะสูญหายไป และไม่ค่อยที่จะได้รับความสนใจเท่าไหร่นัก บรรยากาศในห้องฝึกซ้อมเพลงของผมเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที มีครู อาจารย์ นักการที่ทำงานอยู่ในโรงเรียนเริ่มทยอยกันเข้ามาในห้อง และยืนอออยู่ที่ประตูห้องทั้ง 2 ด้าน ถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ บางคนก็ขอถ่ายรูปคู่กับดาราบ้าง เข้ามาพูดคุยกับศิลปินนักแสดงบ้าง
เขาถามผมว่า “อาจารย์ครับ ผมมีความสนใจเรื่องราว ความสามารถของท่านอาจารย์มาก หลังจากที่ได้ศึกษาประวัติและผลงานของอาจารย์โดยละเอียดแล้ว ผมจึงตัดสินใจเดินทางมาพบท่านอาจารย์ในวันนี้ ความจริงผมอยากจะมาตั้งนานแล้ว แต่หาเวลาที่ว่างจริง ๆ ไม่ได้ คือว่า ผมจะทำ..... ครั้งที่.... โดยผมจะนำเอาเพลงแหล่มาร้องผสมผสานกับเพลงแร็ป หรือไม่ก็จะนำเอาเพลงพื้นบ้านอย่างใดอย่างหนึ่งมาร้องกับเพลงแร็ป อาจารย์ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม”
ถึงตอนนี้ ผมต้องหยุดคิดนิดหนึ่ง เพราะว่าการที่นักแสดงคนหนึ่งจะร้องเพลงแหล่ได้นั้น จะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง คือ “ต้องอาศัยความสามารถด้านเสียง ประสบการณ์ กลวิธีในการร้องทำนองเพลงแหล่ซึ่งมีอยู่หลายทำนองและกลอนที่จะใช้ร้องแหล่มีทั้งกลอนหก กลอนแปด และกลอนสัมผัสแบบกลอนเดียว (กลอนหัวเดียว) ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ผู้นั้นจะต้องมีความ สามารถด้นกลอนสด ๆ ได้ เพลงจึงจะมีชีวิตชีวา ให้อารมณ์ความรู้สึกแก่ผู้ชมผู้ฟังได้มากยิ่งขึ้น” ผมบอกกับเขาว่า “เพลงพื้นบ้าน 19 อย่าง ที่ผมมีความสามารถร้องได้ เล่นได้เกิดจากการฝึกฝนอย่างจริงจัง และตั้งใจจริงด้วยเวลาอันยาวนาน” แล้วผมก็ร้องสด ๆ ให้เขาฟัง 4-5 อย่างต่อกันไป
เขาถามผมว่า “อาจารย์ ครับ แล้วกลอนที่เขาร้องกัน เขาใช้กลอนอะไร แบบไหน ร้องกันอย่างไร และถ้าผมจะร้องเพลงแหล่แบบด้นกลอนสด ผมควรที่จะเริ่มอย่างไร ตรงไหนก่อน” (วันนี้ผมขอชิมลางก่อนนะ วันต่อไปผมจะกลับมาหาอาจารย์อีก จะมาเช่าโรงแรมค้างคืนเพื่อฝึกให้ได้) ผมได้ฟังเขาพูดแล้วรู้สึกพอใจ เพราะการที่คน ๆ หนึ่งกล้าที่จะกระทำในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ให้ได้ โดยมีความมานะพยายาม และมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม น่าที่จะให้การสนับสนุนมาก
ในความเป็นจริง เด็ก ๆ ในวงเพลงพื้นบ้านของผม อย่างน้อย 3 คน มีความสามารถร้องด้นกลอนสด (กลอนเดียว) ได้ และมี 1 คนด้นกลอนสดแบบกลอนผูกสัมผัสได้ ถ้าเป็นในระดับผู้ใหญ่และเป็นศิลปินนักแสดงที่เคยชินกับเวทีละคร ดนตรีมาแล้วผมว่าน่าที่จะทำได้และทำได้ดีมากด้วย ถึงตรงนี้ ผมจึงแนะนำเขาว่า “การฝึกหัดเพลงพื้นบ้าน ที่ผมกำลังฝึกหัดให้เด็ก ๆ อยู่ในขณะนี้ มีจำนวน 21-22 คน บางคนก็ตั้งใจจริง จนยืนแถวหน้าเป็นผู้ร้องนำได้ บางคนก็มาอยู่กับเราแบบหวังอย่างอื่น ไม่พัฒนาตัวเอง ก็เป็นได้แค่ไม้ประดับวง
ดังนั้น การที่คนเราจะมีความสามารถในสิ่งใดได้นั้น สิ่งสำคัญคือ "จะต้องมีความสนใจ ต้องการที่จะเป็นสิ่งนั้นอย่างลึกซึ้ง คือตั้งเป้าประสงค์เอาไว้ให้มากกว่าที่ต้องการ แล้วมันจะได้กับตัวเรามาก ๆ มากเสียจนเกินพอ จนทำให้เราทำเป็น เล่นเป็น ร้องได้โดยที่ไม่ต้องแต่งบทร้องมาก่อน นี่แหละครับ เส้นทางไปสู่การด้นกลอนสด”
สวัสดีค่ะ
ครูอ้อยมาดีใจ ยินดีที่ได้พบศิลปิน เพชรน้ำงาม แห่งเพลงศิลปพื้นบ้านค่ะ
ครูอ้อยอยากร้องเป็นบ้างจังเลยค่ะ.....
สวัสดี คุณน้อง ดร.อ้อย (สิริพร)