ความเที่ยง (Reliability)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความเชื่อมั่นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของเครื่องมือที่ดี
การที่เครื่องมือใดมีความเที่ยงมาก
หมายความว่าเครื่องมือนั้นมีระดับความคงที่ในการวัดมาก
ถ้านำเครื่องมือนั้นไปวัดซ้ำจะได้ค่าความแตกต่างของการวัดซ้ำน้อย
แสดงว่าเครื่องมือนั้นมีความเที่ยงสูงวิธีตรวจสอบค่าความเที่ยงมีหลายวิธี
ที่นิยมใช้มีดังนี้
2.1) การวัดความคงที่ (Measure of Stability)
วิธีนี้เป็นการวัดซ้ำโดยให้ผู้ตอบกลุ่มเดียวกันตอบแบบสอบถามชุดเดียวกันสองครั้ง
โดยเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 สัปดาห์
การวัดโดยวิธีนี้มีหลักว่าถ้าแบบทดสอบมีความเที่ยงชนิดที่วัดความคงที่ของผู้ตอบได้จริงแล้ว
ผลการตอบทั้งสองครั้งควรจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน
ดัชนีความเที่ยงใช้วัดความคงที่ คือ
ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของผลการตอบแบบสอบถามทั้งสองชุด
ข้อจำกัดของการหาดัชนีความเที่ยงโดยการวัดซ้ำ
อยู่ที่ว่าต้องรอเว้นระยะเวลาหลังจากการตอบครั้งที่ 1
ซึ่งผู้ตอบอาจได้มีโอกาสเรียนรู้ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้มีผลต่อการตอบครั้งที่
2 ซึ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
2.2) การวัดความเท่ากัน (Measure of equivalence)
วิธีนี้เป็นการวัดค่าความเที่ยงโดยการประมาณค่าความเท่าเทียมกันของการใช้เครื่องมือ
2 ฉบับ ที่สร้างขึ้นให้มีคุณสมบัติเหมือนกัน
เมื่อนำไปวัดคนกลุ่มเดิมในเวลาเดียวกัน
คะแนนที่ได้จากจากทั้งสองฉบับจะมีความสัมพันธ์กันสูง
ถ้าเครื่องมือนั้นมีความเที่ยงสูง
ในทางตรงกันข้ามถ้าคะแนนที่ได้ไม่สัมพันธ์กัน
แสดงว่าเครื่องมือสองฉบับไม่มีความเท่าเทียมกันใช้แทนกันไม่ได้ในทางปฏิบัติ
การสร้างเครื่องมือสองชุดให้วัดของสิ่งเดียวกัน
มีวัตถุประสงค์เหมือนกัน ความยากง่ายใกล้เคียงกัน ซึ่งเรียกว่า
แบบคู่ขนานนั้นทำได้ยาก
การวัดความเที่ยงวิธีนี้จึงไม่ค่อยมีรายงานการใช้
แต่วิธีนี้แก้ปัญหาวิธีแรกในเรื่องของระยะเวลา
2.3) การวัดความคงที่ภายใน (Measure of internal consistency)
การหาค่าดัชนีของความเที่ยงในข้อ 2.1 และ 2.2
ที่กล่าวมาแล้วต้องอาศัยการทดสอบ 2 ครั้ง ซึ่งอาจเกิดความไม่สะดวก
ดังนั้นการวัดความคงที่ภายในจะเป็นการหาค่าความเที่ยงของแบบทดสอบ
โดยการทดสอบเพียงครั้งเดียว
ซึ่งคำนวณหาค่าดัชนีความเที่ยงได้หลายวิธีดังนี้
2.3.1) วิธีแบ่งครึ่ง (Split-half method)
เป็นการวัดความสอดคล้องภายในของเครื่องมือ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงว่าเครื่องมือมีความเที่ยงอีกลักษณะหนึ่ง
โดยปกติเครื่องมือวิจัยมักประกอบด้วยรายการข้อคำถามจำนวนหนึ่งที่ถามเพื่อจะวัดลักษณะเดียวกัน
การที่รายการข้อคำถามแต่ละข้อ
ถามในประเด็นที่จะนำไปถึงลักษณะที่ต้องการจะวัดทั้งหมด
แสดงว่าเครื่องมือนั้นมีความสอดคล้องภายในสูง
การหาความเที่ยงแบบนี้ทำได้โดยการนำคะแนนที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนมาแยกเป็น
2 ส่วน วิธีทั่ว ๆ ไปใช้กันอยู่เพียงแต่แบ่งสอบถามออกเป็น 2 ส่วน
โดยถือว่าข้อสอบสองส่วนนั้นวัดสิ่งเดียวกัน
แบ่งออกเป็นข้อคู่และข้อคี่คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
จะได้ค่าความเที่ยงแบบวัดครึ่งฉบับ
ต่อจากนั้นนำไปหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เต็มฉบับ
โดยใช้สูตรสเปียร์แมน บราวน์ (Spearman – Brown)
ค่าที่ได้จะเป็นค่าความเที่ยงของเครื่องมือที่ต้องการ
2.3.2) วิธีของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson)
การหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะไม่ได้วัดในสิ่งเดียวกันสามารถทำได้โดยวิธีของ
(Kuder-Richardson) ซึ่งมี 2 สูตร คือ KR – 20 และ KR – 21
เป็นการวัดค่าความสอดคล้องภายในอีกวิธีหนึ่ง
ซึ่งแบบวัดที่จะนำมาหาค่าความเที่ยงด้วยวิธีนี้ต้องมีการให้คะแนนเป็น
0 กับ 1 หรือเป็นการวัดที่มีการแจกแจงได้เพียง 2 ลักษณะ
2.3.3) วิธีของคร์อนบาร์ช (Cronbach)
การหาความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟ่า (Alpha coefficient)
สูตรนี้ดัดแปลงมาจาก KR – 20
ดังนั้นจึงเป็นการหาความเที่ยงในลักษณะของความสอดคล้องภายในเช่นเดียวกัน
การดัดแปลงมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้มีใช้ไม่จำกัดเฉพาะแบบวัดที่มีคะแนนเป็น
0 กับ 1 เท่านั้น
ซึ่งมีผู้นิยมใช้สัมประสิทธิ์อัลฟ่ากันอย่างกว้างขวางในการหาความเที่ยงของเครื่องมือวิจัย
ส่งมาให้อ่านเสริมความรู้
ขอบคุณมากค่ะ สรุปได้ดี อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นค่ะ ^^