ปลาบึกจัดอยู่ในบัญชีใกล้สูญพันธุ์ของ IUCN และมติการประชุมการจัดสถานภาพของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ โดยผู้เชี่ยวชาญและสำนักนโยบายและสิ่งแวดล้อม ปี 2539อยู่ในบัญชี CITES Appendix I
ปลาบึก
ในบัญชีใกล้สูญพันธุ์ (จาก Humphrey & Baim-1990,
บัญชีรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของ IUCN
และมติการประชุมการจัดสถานภาพของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์
โดยผู้เชี่ยวชาญและสำนักนโยบายและสิ่งแวดล้อม ปี 2539) อยู่ในบัญชี
CITES Appendix I
ปลาบึก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับสมญานามว่า
เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำโขง เพราะมีถิ่นอาศัยแหล่งเดียว ณ ที่นั้น
ชาวไทยและชาวลาวรู้จักปลาชนิดนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ในชื่อ “บึก” คำว่า
“บึก” เพี้ยนมาจากคำว่า “หึก”
ซึ่งเป็นคำในภาษาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณสองฝั่งโขง ได้แก่ ไทย
เหนือ ไทยอีสานและลาว หมายถึงใหญ่
ดังนั้นจึงเรียกปลาที่มีขนาดมหึมาชนิดนี้ว่า “ปลาหึก” นานๆ ไปเสียง
เพี้ยนกลายเป็น “ปลาบึก” จนทุกวันนี้ชาวตะวันตกเรียกปลาชนิดนี้ว่า
huge fish หรือ Mekong giant catfish ชาวเขมรเรียก
“เตร-เร-อัค”
ปลาบึกอยู่ในวงศ์เดียวกับปลาสวาย เทโพ สังกะวาด เหลือง
(Family Pangasidae) เป็นวงศ์ที่มีประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ
ปลาในวงศ์นี้พบเฉพาะในเขตอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำสินธุ คงคา จนถึงลุ่มแม่น้ำโขง และบอร์เนียว รวม 24
ชนิด
แต่ในลุ่มแม่น้ำโขงและในประเทศไทยมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์มากที่สุดถึง
13 ชนิด
ปลาบึกเป็นปลาไม่มีเกล็ดหรือที่เรียกกันว่า ปลาหนัง
(catfish) ที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
และอาจนับเป็นปลาน้ำจืดที่มีน้ำหนักมากที่สุดอีกชนิดหนึ่ง ลำตัวยาว
ด้านข้างแบน หัวค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้นทู่
ตามีขนาดเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับมุมปาก มีหนวดสั้นมากอยู่ 2 คู่
ปากเล็ก ปลาวัยอ่อนจะมีฟันอยู่บนขากรรไกร
เมื่อปลาเจริญวัยฟันจะหลุดหายไป ลำตัวมีสีเทาปนดำ
บริเวณหลังด้านท้องใต้แนวเส้นข้างตัวเป็นสีเหลือง
ส่วนล่างสุดจะมีสีขาวเงิน ขนาดใหญ่สุดมีความ ยาว 2.5 เมตร
แต่มีรายงานบางแห่งบันทึกไว้ว่ายาวถึง 3.0 เมตร หนักกว่า 300 กิโลกรัม
มักชอบอาศัยในน้ำลึก อุณหภูมิประมาณ 24 – 26
องศาเซลเซียสที่มีน้ำไหลตลอด โดยกินสาหร่ายเป็นหลัก
แต่ถ้านำมาเลี้ยงในบ่อจะกินไม่เลือก คนจีนเรียกชื่อปลาบึกว่า
ปลาขงเบ้ง เชื่อว่ากินแล้วจะฉลาดเหมือนขงเบ้ง
เนื้อปลามีรสดีและราคาแพงมาก
สีของปลาบึก
ขนาดเล็กจะเป็นสีเหลือบเขียวอมเหลือง มีแถบสีคล้ำที่ครีบหาง
ทั้งแฉกบนและล่าง ปลาบึกขนาดใหญ่กว่า 20 เซ็นติเมตร
ลำตัวจะเป็นสีเทาอมเหลืองหรือน้ำตาลอ่อนเหลือบเงิน ด้านท้องสีจาง
และในปลาขนาดใหญ่กว่า 1 เมตรขึ้นไป
ลำตัวจะกลายเป็นสีเทานวลหรือน้ำตาลอ่อน ด้านข้างเป็นสีเหลือบเงินจางๆ
ในปลาตัวโตบางตัวอาจมีจุดประสีคล้ำเรียก “แต้มน้ำหมึก”
ที่ข้างลำตัวเล็กน้อยด้วย
ปลาบึกมีอุปนิสัยรักสงบ ตื่นตกใจง่าย
ชอบอยู่รวมกัน เป็นฝูงบริเวณเขตน้ำลึกที่มีกระแสน้ำไหล
เชื่อว่าฤดูวางไข่ของปลาบึกจะตกอยู่ราวเดือนกุมภาพันธ์
โดยปลาบึกจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่เหนือขึ้นไปจากประเทศไทย
บริเวณหลวงพระบางในประเทศลาวซึ่งเป็นบริเวณน้ำลึกมีเกาะแก่งมาก
สะดวกในการผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูแล้ง
พอถึงฤดูน้ำหลากมันจะว่ายตามน้ำลงมายังแม่น้ำโขงตอนล่าง
มีตำนานเล่าขานสืบต่อมาเป็นเวลาร้อยปี
ชาวเขมรและลาวเชื่อกันว่าปลาบึกตัวเมียอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบเขมรเท่านั้น
เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะเดินทางขึ้นไปตามลำน้ำโขงผ่านประเทศลาว ไทย
พม่า ขึ้นถึงทะเลสาบตาลีในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อผสมกับตัวผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบดังกล่าว
โดยปลาบึกตัวผู้มีลักษณะพิสดารกว่าตัวเมีย
คือจะมีเกล็ดสีทอง
ประเทศไทย
โดยทางกรมประมงได้ผสมเทียมปลาบึก เป็นผลสำเร็จตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526
และสามารถเพาะพันธุ์ได้เป็นจำนวนมากพอที่จะปล่อยในแหล่งน้ำต่างๆ
ทั่วประเทศ ปรากฏว่าปลาบึกเจริญเติบโตได้ดี
แต่ยังไม่ทราบว่าจะผสมพันธุ์วางไข่ได้หรือไม่
ทุกปีจะมีเทศกาลจับปลาบึกขึ้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ทำให้ปลาบึกที่โตเต็มที่พร้อมผสมพันธุ์ถูกจับปีละนับร้อยตัว
เพื่อนำเอามาขายเป็นอาหารราคาแพง
ทำให้ปริมาณของปลาบึกในแม่น้ำโขงลดจำนวนลงทุกปีๆ
แหล่งที่มา
http://www.muslimthaihealth.com/nuke/modules.php?name=News&file=article&sid=128