การเรียนรู้ตลอดชีวิตกับชาวนา (๑๒)
ขอนำรายงานของมูลนิธิข้าวขวัญ ตอนที่ ๑๒ มาลงต่อนะครับ คราวนี้เป็นเรื่องการไปดูดซับ (capture) ความรู้จากภายนอก มองอีกมุมหนึ่ง เป็นกิจกรรม เพื่อนช่วยเพื่อน (peer assist) กลายๆ โปรดสังเกตว่านักเรียนชาวนาเตรียมการณ์ไปดูดซับความรู้อย่างเป็นระบบ มีการจัดทีมและแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า วางแผนกลับมาย่อยความรู้และแบ่งปันกันต่อที่สุพรรณบุรี
ตอนที่ 12 จากสุพรรณจรไกลไปพิจิตร
กิจกรรมการศึกษาดูงานของโรงเรียนชาวนาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักเรียนชาวนาได้มีโอกาสไปเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ สำหรับในการศึกษาดูงานครั้งนี้ ได้นำพาให้ชุมชนชาวนาในจังหวัดสุพรรณบุรีไปพบปะพูดคุยกับชุนชนชาวนาในจังหวัดพิจิตร
ในช่วงเดือนตุลาคม 2547 ที่พึ่งผ่านมานี้ โรงเรียนชาวนาบ้านดอน อำเภออู่ทอง รวมกลุ่มเดินทางไกลไปหาความรู้เรื่องการเกษตร โดยเป็นความต้องการและความคาดหวังของนักเรียนชาวนาที่ต้องการจะเรียนรู้เรื่องข้าว โดยชี้เฉพาะเจาะจงในประเด็นสำคัญอันได้แก่ เรื่องการคัดพันธุ์ข้าวและขยายพันธุ์ข้าวโดยอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้าน การไปดูถึงแหล่งตัวอย่างที่ดีที่จังหวัดพิจิตร ย่อมเกิดการเชื่อมความสัมพันธ์กิจกรรมที่ดีระหว่างกันด้วย ระหว่างกลุ่มนักเรียนชาวนากับเครือข่ายชาวนาในชุมชนต่างทั่วประเทศ นักเรียนชาวนาจึงได้มีโอกาสเรียนรู้วิธีการรวมกลุ่มชาวนา อย่างไรจึงจะเข้มแข็ง? กลุ่มชาวนาจะสามารถร่วมกันจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ได้
นอกจากนี้ การไปเรียนรู้ก็มีการจัดแบ่งกลุ่มกันรับผิดชอบงานในแต่ละประเด็น อันจะทำให้นักเรียนชาวนาฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มไปด้วยในตัว เพราะกลุ่มใหญ่ก็ใหญ่ไป ไม่สะดวก จึงจัดกันเป็นกลุ่มย่อย แบ่งกันศึกษาหาความรู้ แล้วค่อยนำความรู้ที่ได้มาเล่าสู่กันฟัง
กลุ่มย่อยมีทั้งหมด 8 กลุ่ม และแบ่งประเด็นแยกกันไปศึกษา ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ศึกษาชนิดของพันธุ์ข้าวนาปรังนาปีของจังหวัดพิจิตร
กลุ่มที่ 2 ศึกษากรรมวิธีในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวและขยายพันธุ์ข้าว
กลุ่มที่ 3 ศึกษาการรวมกลุ่มของสมาชิกชาวนา การทำกิจกรรมและขยายเครือข่าย
กลุ่มที่ 4 ศึกษากิจกรรมเด่นๆของกลุ่มชาวนา
กลุ่มที่ 5 ศึกษาการแปรรูปผลผลิตข้าวในจังหวัดพิจิตร
กลุ่มที่ 6 ศึกษาถึงสถานการณ์ปัจจุบันในการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักชีวภาพในจังหวัดพิจิตร
กลุ่มที่ 7 ศึกษาความภูมิใจของชาวนาจังหวัดพิจิตร (กิจกรรมใดที่ภูมิใจ) และนักเรียนชาวนามีความประทับใจอะไรบ้างจากการที่ได้มาศึกษาดูงาน
ทั้งหมดเป็นแผนการจัดการความรู้เพื่อชาวนา ซึ่งอยู่ในหลักสูตรของนักเรียนชาวนาที่ต้องรู้ต้องศึกษา และนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ การไปศึกษาก็เพื่อให้ได้พบ ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติจริงคือชาวนากลุ่มก้าวหน้าจังหวัดพิจิตร รวมทั้งได้เห็นกรรมวิธีคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวและขยายพันธุ์ข้าวปลูกต่างๆ เป็นต้น
ผลจากการศึกษาของแต่ละกลุ่ม มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มที่ 1 ศึกษาชนิดของพันธุ์ข้าวนาปรังนาปีของจังหวัดพิจิตร มีอาจารย์นิพนธ์ คล้ายพุก เป็นหัวหน้ากลุ่ม
จากการศึกษาจึงทราบข้อมูลในเบื้องต้นว่า จังหวัดพิจิตรเป็นจังหวัดอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง อยู่ท่ามกลางวงล้อมของ 4 จังหวัด คือ
ทิศเหนือ ติดกับ จังหวัดพิษณุโลก
ทิศใต้ ติดกับ จังหวัดนครสวรรค์
ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดเพชรบูรณ์
ทิศตะวันตก ติดกับ จังหวัดกำแพงเพชร
จังหวัดพิจิตร มีความหมายว่าเมืองงาม เดิมชื่อโอฆะบุรี เป็นถิ่นกำเนิดของพระสรรเพชรที่ 8 หรือที่ประชาชนรู้จักกันในนามพระเจ้าเสือ กษัตริย์องค์ที่ 31 แห่งกรุงศรีอยุธยา พิจิตรอยู่ห่างจากสุพรรณบุรี ประมาณ 344 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งจังหวัดประมาณ 4,531,013 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 12 อำเภอกับอีก 3 กิ่ง
และที่กิ่งอำเภอบางนารางนี่เอง เมื่อเวลา 07.40 น. ของวันที่ 24 ตุลาคม 2547 กลุ่มนักเรียนชาวนาบ้านดอน ทั้งห้อง ก และห้อง ข ได้ถึงจุดหมายที่นัดไว้คือ บ้านเลขที่ 81/1 เป็นบ้านของคุณมนูญ มณีโชติ ซึ่งคุณมนูญเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของกลุ่มเกษตรยั่งยืนที่มีสมาชิกครบทั้ง 12 อำเภอ และมีคุณสมศักดิ์ สภาพร คุณผดุง เครือบุบผา และคุณสินชัย บุญอาจ มาต้อนรับขับสู้ด้วยน้ำจิตน้ำใจไมตรีอันดี
|
|
ภาพที่ 61 การไปศึกษาดูงานเรื่องกลุ่มเกษตรกรที่จังหวัดพิจิตร ถือเป็นแหล่ง การเรียนรู้อีกแหล่งหนึ่ง
|
|
ภาพที่ 62 คุณมนูญ มณีโชติ เจ้าของบ้านทักทายนักเรียนชาวนา
|
|
การนำเสนอข้อมูลต่างๆของคุณมนูญได้ใช้กุศโลบายเอาความเชื่อถือในวัฒนธรรมของชาวนามาชักนำโน้มน้าว จนทำให้เกิดพลังแห่งการรวมกลุ่ม นับเป็นยุทธวิธีที่ชาญฉลาด แม้ตรงประเด็นนี้จะเป็นประเด็นที่ดี แต่ไม่ใช่เป็นคำตอบเป้าหมายของกลุ่มที่ 1 เพราะได้รับมอบหมายให้มาค้นหาคำตอบว่า ชนิดของพันธุ์ข้าวชาวนาพิจิตรมีพันธุ์ใดบ้าง และที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คำตอบนั้น อยู่ที่...
คุณสมศักดิ์ สุภาพร หนึ่งในคณะกรรมการของกลุ่มเกษตรยั่งยืนเปิดเผยว่า เฉพาะสมาชิกในตำบลบางนารางมีทั้งหมด 115 คน มีจำนวนพื้นที่ทำนา 715 ไร่ มีทั้งการทำนาปีและนาปรัง เฉพาะนาปรังเริ่มทำเมื่อ 3 ปีที่แล้วนี่เอง (พ.ศ.2544) เมื่อก่อนจะทำเพียงแค่นาปี เพราะพิจิตรเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ถึงเวลาหน้าน้ำหลากน้ำจะมาเร็วมาก จึงต้องใช้พันธุ์ข้าวที่หนีน้ำเก่ง ไม่ว่าน้ำจะสูงแค่ไหนรับรองได้ว่าน้ำไม่ท่วมรวงข้าวแน่
นาปรังเริ่มทำเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทำบนพื้นที่ดอน แก้ไขได้โดยวิธีขุดบ่อน้ำบาดาล ในขณะนี้ใช้น้ำบาดาลปลูกข้าวถึง 35 บ่อ ลงทุนบ่อละ 3,000 - 10,000 บาท พันธุ์ข้าวปรังเริ่มแรกใช้พันธุ์ข้าว กข.6 , กข.7 , กข.11 และ กข.21 (กข. ย่อมาจากคำว่า กองข้าว ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น) ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นพันธุ์พวงทอง พันธุ์โพธิ์แก้ว พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นพันธุ์เหลืองทอง สำหรับข้าวนาปีนั้น ก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม ผลผลิตจะมีเพียงพันธุ์เหลืองทองเท่านั้น ซึ่งได้ไร่ละเกิน 1 เกวียน ส่วนนอกเหนือจากนั้นยังไม่ได้ไม่เท่า
การเรียนรู้ของนักเรียนชาวนาบ้านดอนยังไม่หมดสิ้น พอฟังบรรยายสรุปจากคุณมนูญจบแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังบ้านของนายผดุง เครือบุบผา บ้านเลขที่ 242 หมู่ 6 ตำบลหนองคูน เมื่อถึงที่บ้านหลังดังกล่าวนี้ ก็พบว่าที่หน้าบ้านของคุณผดุงมีกระถางเพาะพันธุ์ข้าวเหลืองทอง จำนวน 50 กระถาง วางเรียงกันอยู่พร้อมกองปุ๋ยอินทรีย์ พันธุ์ข้าวที่ปลูกในกระถางกำลังแตกกอและที่ออกรวงแล้วก็มี
จากการพูดคุยสอบถามประวัติของคุณผดุง เคยผ่านการอบรม วิทยากรกระบวนการ เปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง มีชื่อย่อว่า วปอ. อบรมมาเมื่อปี 2545 ระยะเวลาอบรม 4 คืน 5 วัน เมื่ออบรมเสร็จก็กลับบ้านมาตั้งเครือข่าย โดยเริ่มต้นจากมีสมาชิก จำนวน 20 คน ใช้ชื่อกลุ่มว่าเกษตรปลอดสารพิษ จากนั้นก็ศึกษาเรื่องการใช้สมุนไพรในนาข้าวเรื่อยมา
ความรู้ของคุณผดุงไม่ได้อยู่เฉพาะแปลงนาที่บ้าน ได้ขยายไปสู่โรงเรียนระดับมัธยมอีกหลายๆโรงเรียนในตำบลบ้านเกิดของตนเอง ดังตัวอย่างที่โรงเรียนวัดวังไคร้ ตำบลคลองคูน ซึ่งคุณผดุงได้นำพันธุ์ข้าวเหลืองทองมาปลูกสอนเด็กนักเรียนโดยใช้วิธีดำนา เป็นแปลงสาธิตบนพื้นที่ ไร่กว่าๆ วันที่ไปศึกษาดูงานแล้วได้ดูข้าวกำลังอยู่ในระยะพลับพลึงเหลืองอร่าม มองแล้วช่างงามจับตาจริงๆ
นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการกระจายความรู้ไปสู่เยาวชนเป็นฐานแห่งความมั่นคงของชีวิตเลยทีเดียว แต่เสียดายที่เวลามีน้อย แต่ก็คุ้มค่า สังเกตกลุ่มนักเรียนชาวนาบ้านดอนขณะเดินกลับขึ้นรถ แต่ละคนล้วนนำพาความรู้จากผืนนามาจนเต็มแน่น แถมหลายคนยังได้แอบเด็ดรวงข้าวที่เมล็ดโตๆ ยาวๆ ใส่กระเป๋ามาอีกคนละรวงสองรวง
บทสรุปของกลุ่มที่ 1 ในการมาศึกษาเรื่องพันธุ์ข้าวก็มาจบลงตรงมื้อเที่ยงที่บ้านหนองแก ตำบลหนองพยอม โดยมีคุณสินชัย และคุณมนูญ เดินทางตามมาสรุปให้ฟังด้วย การตอบการถามมีหลายแนวหลายความคิด การแสดงความคิดเห็นของการมองคนละมุมก็มีบ้างเหตุเพราะคำถามมักจะวนเวียน
ท้ายที่สุดของกลุ่มที่ 1 ก็ได้รับความรู้ชนิดของพันธุ์ข้าวที่ชาวนาจังหวัดพิจิตรใช้อยู่ แม้จะไม่มีตัวอย่างมาแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย ส่วนความแตกต่างระหว่างจังหวัดพิจิตรดีกว่าตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง ก็ตรงที่มีการปลูกทั้งข้าวปีและข้าวปลัง อีกทั้งข้าวเบา 90 วัน และข้าวเบานี่แหละที่กำลังเป็นที่นิยมมีการขยายฐานการผลิตเพิ่มมากขึ้น ในกลุ่มของสมาชิกเหล่านี้ยังไม่อยากจะมองภาพของธุรกิจเป็นตัวตั้ง เพราะหากตั้งใจจะปลูกข้าวได้มากๆครั้งต่อปีนั้น นั่นก็หมายถึงจะต้องกลับไปใช้ปุ๋ยและสารเคมีที่นิยมใช้เหมือนอย่างเก่าก่อน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ความตั้งใจและแรงใจที่เคยตั้งไว้จะหายไปไหม ?
กลุ่มที่ 2 ศึกษากรรมวิธีในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวและขยายพันธุ์ข้าว มีอาจารย์พรหม ภูธรานนท์ เป็นหัวหน้ากลุ่ม กลุ่มได้ตั้งคำถามเพื่อไปค้นหาคำตอบ อยู่ด้วยกัน 2 คำถามคือ
(1) มีอุปกรณ์อะไรบ้างในการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ?
(2) มีพันธุ์อะไรบ้างที่คัดเลือกได้แล้วในจังหวัดพิจิตร ?
|
|
ภาพที่ 63 กลุ่มศึกษาพันธุ์ข้าว
|
|
ภาพที่ 64 เวทีการศึกษาดูงาน พูดคุยและซักถาม จากวิทยากรสู่นักเรียนชาวนา
|
|
กรรมวิธีในการคัดเลือกพันธุ์ข้าว มีดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 กรรมวิธีการคัดเลือกพันธุ์ข้าว เริ่มตั้งแต่การสังเกตต้นข้าวที่จะนำมาคัดทำพันธุ์ต้องเป็นต้นข้าวตั้งตรง ใบดาบ ใบตั้งตรงกลม คอรวงตรงมีล้ม มีระแง้ถี่ มีเมล็ดติดมากเป็นพวง ยิ่งนับเมล็ดได้มากยิ่งดี ต้องไม่เป็นโรค ความสูงต่ำของต้นแปรไปตามสภาวะ อย่างเช่น ปลูกใน ที่ลุ่มน้ำลึกก็เลือกจากต้นพันธุ์ที่ต้นสูง ปลูกบนที่ดอน น้ำไม่ท่วมก็เลือกต้นเตี้ย แล้วจึงเลือกรวงที่แก่ได้ที่นำมาหรือเก็บเกี่ยวมารวมแขวนไว้ ทั้งรวงเป็นมัดๆพักตัวได้ประมาณ 30 วัน จากนั้น
ขั้นตอนที่ 2 นำเอารวงข้าวที่คัดไว้นำมาแกะเปลือกออกเป็นเมล็ดข้าวกล้อง ในแต่ละรวงเลือกเมล็ดตรงกลางๆของรวง ส่วนโคนรวงและปลายรวงก็ทิ้งไปไม่เอาเมล็ดตรงส่วนนั้น เตรียมไว้เป็นกำๆ หรือเป็นลิตรเป็นถังก็ตามแต่สะดวก ถ้าหากสามารถหาเมล็ดข้าวดีๆได้เพียง 1 เมล็ด ก็จะนำไปขยายได้แตกกอออกมา บางครั้งก็ได้เป็นร้อยๆกอ ใน 1 กอ มี 1 รวง และใน 1 รวง มี 100 กว่าเมล็ด รวมเมล็ดได้ 7 กิโลกรัม จึงนำไปตกกล้าดำนาได้ 1 ไร่
ขั้นตอนที่ 3 คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวกล้องด้วยสายตา เอาแต่เมล็ดใหญ่ๆยาวๆตรงๆ เป็นมันขาวสะอาดตา คัดแยกออกมาเป็นกอง แยกเมล็ดที่ไม่ต้องการไปไว้อีกกองหนึ่งต่างหาก
ขั้นตอนที่ 4 ในขั้นตอนนี้มีความสำคัญมาก เพราะใช้แว่นขยายหรือกล้องส่องพระเครื่องส่องขยายดูเมล็ดข้าวกล้อง เพื่อคัดเลือกเอาที่สุดยอดที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เลือกเมล็ดขาวไม่ขุ่น ไม่เป็นท้องปลาซิว เมล็ดยาวเป็นมัน เกลี้ยง และที่สำคัญจะงอยหรือขาดีดจะต้องเล็กๆ อย่าให้ขนาดใหญ่ ถ้าขนาดใหญ่โรงสีจะไม่ชอบ เพราะเมื่อเวลานำข้าวไปสี เมล็ดข้าวจะแหว่งตรงส่วนหัวมาก ตอนต้นเมล็ดข้าวจะขาดแหว่งไม่สวยและไม่ได้ราคา จึงต้องเลือกเมล็ดข้าวที่มีจะงอยเล็ก เมื่อนำไปขยายพันธุ์เมล็ดที่ได้จะเหมือนเมล็ดพันธุ์แม่ 97 %
ขั้นตอนที่ 5 นำเมล็ดพันธุ์ในขั้นตอนที่ 4 ซึ่งได้คัดเมล็ดข้าวแช่น้ำนาน 2 คืน จากนั้นนำขึ้น สงทิ้งไว้อีก 1 คืน จึงนำเมล็ดที่กำลังงอกไปเพาะไว้ในกระทงแกลบเผาผสมทราย นาน 10 – 15 วัน เมล็ดข้าวจะงอกเป็นต้นเขียวขจี จึงแยกไปใส่กระถางต้นละกระถาง เพื่อให้รากเดินและแตกกอได้เต็มที่
ขั้นตอนที่ 6 ใช้กระถางขนาดปากกว้าง 30 – 70 เซนติเมตร ใส่ดินผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เท่าที่สังเกตดูจะใช้ดิน 3 ส่วน ผสมมูลหมู 1 ส่วน ใส่ลงไปในกระถาง 3 ใน 4 ส่วน มูลหมูเก่าค้างปียิ่งดี เพราะสลายตัวดี แล้วค่อยๆแยกต้นกล้าในกระถางแกลบเผามาปลูก ในกระถางดินผสมที่เตรียมไว้ อายุของต้นกล้าอยู่ในช่วง 10 – 15 วัน ปลูกแล้วรดน้ำให้ชุ่ม เฝ้าดูการเจริญเติบโต ต้องใช้กระถางปลูก ไม่ต่ำกว่า 50 ใบ พร้อมๆไปกับการฝึกให้ต้นกล้าดูดซึมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ถ้าหากกระถางไหนที่ไม่รับปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์ ก็แสดงว่าไม่งาม ให้ทิ้งไป แล้วให้สังเกตการแตกกอ ความสูง ใบ ความต้านทานโรค และแมลง คอรวงตั้ง เมล็ดในรวงมากน้อย ระแง้ถี่ห่าง แล้วเลือกคุณสมบัติตามต้องการของต้นที่ดีที่สุดไปขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตกกล้า ดำขยาย ทำพันธุ์ ข้าวนาปรังหรือข้าวนาปีต่อไป
จึงเป็นอันครบเครื่องเรื่องการขยายพันธุ์ข้าวและการคัดเลือกพันธุ์ข้าวด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน
กลุ่มที่ 3 ศึกษาการรวมกลุ่มของสมาชิกชาวนา การทำกิจกรรมและขยายเครือข่าย มีอาจารย์สิทธิชัย ยอดเกษา เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เริ่มแรกตั้งข้อคำถามไว้ว่า ชาวนาในจังหวัดพิจิตรรวมตัวกันอย่างไร ? ขยายเครือข่ายกันอย่างไร ? เพื่อตามหาคำตอบ จึงได้ดังนี้
ในลำดับแรกนั้น มีการประชาสัมพันธ์โดยขับรถติดเครื่องขยายเสียงเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชน และในสถานศึกษาให้เข้าใจกันก่อน และชาวนาที่ยังใช้ปุ๋ยเคมีอยู่นั้นเกิดเข้าใจถึงโทษภัยของปุ๋ยเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต จึงได้แนะนำให้ประชาชนและเยาวชนที่เป็นนักเรียนได้มีจิตสำนึกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมี แล้วหันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพแทน และให้เกิดการรวมตัวกันขยายเครือข่าย เป็นกลุ่มๆตามความถนัดและสามารถนำมาร่วมกันเผยแพร่ความรู้ให้แก่กันและกัน จุดที่สำคัญอยู่ตรงที่ แกนนำหรือผู้นำมี ความเข้มแข็งมาก สามารถประสานงานทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ตลอดจนลงมาระดับท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หมอสถานีอนามัย มามีส่วนร่วมด้วยกัน อีกทั้งยังได้ประสานงานกับนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดพิจิตรให้มาสนับสนุนผลักดันให้เกิดพลังเกษตรกรรมยั่งยืนขึ้นมา
เมื่อแต่ละกลุ่มเครือข่ายรวมตัวกันมากเพิ่มขึ้นแล้ว ก็จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ รวมกลุ่มซื้อ ปุ๋ยหมัก คิดดอกเบี้ยต่ำ ถุงละ 10 บาท มีการระดมทุน รวมหุ้นรายละ 20 บาทต่อเดือน เมื่อสมาชิกกลุ่มหรือคนในชุมชนเสียชีวิตก็จะมีพวงหรีดไปเคารพศพด้วย
นอกจากนี้ ก็มีการประชุมกลุ่มใหญ่ปีละครั้ง เพื่อจะได้ร่วมกันหาทางแก้ไขปรับปรุงในปีต่อไป ซึ่งเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยหมัก การคัดพันธุ์ข้าว และการกำหนดราคาข้าวที่เป็นธรรมด้วย
กลุ่มเครือข่ายเกษตรยั่งยืน ประกอบด้วย กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มเกษตร กลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มเยาวชน กลุ่มสิ่งแวดล้อม และกลุ่มสื่อสารมวลชน เพื่อกระจายข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการเกษตรในจังหวัดพิจิตร ต่อไป
กลุ่มที่ 4 ศึกษากิจกรรมเด่นๆของกลุ่มชาวนา มีคุณประทิน ห้อยมาลา เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้ทำเรียนรู้เรื่องกิจกรรมเด่นๆ อันได้แก่ กิจกรรมการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ การทำหัวเชื้อ จุลินทรีย์ และการทำปุ๋ยน้ำ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับสูตรและวิธีการทำดังนี้
การทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ
(1) ใช้มูลวัว รำชนิดละเอียด รำชนิดหยาบ คลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยที่ใช้
- มูลวัว จำนวน 100 ถุง
- รำชนิดละเอียด จำนวน 60 กิโลกรัม
- รำชนิดหยาบ จำนวน 100 กิโลกรัม
(2) ใช้กากน้ำตาล จำนวน 3 กิโลกรัม และเชื้อจุลินทรีย์ จำนวน 1 ลิตร ต่อน้ำ จำนวน 200 ลิตร หมักทิ้งไว้ 3 เดือน ระหว่างนั้นต้องกลับปุ๋ย เพื่อให้ปุ๋ยเย็น จึงนำไปใช้ได้
การทำหัวเชื้อจุลินทรีย์
สัดส่วนการทำหัวเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่
- เปลือกสัปรด จำนวน 3 กิโลกรัม
- น้ำมะพร้าว จำนวน 2 ลิตร
- กากน้ำตาล จำนวน 1 กิโลกรัม
(ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าวสามารถใช้น้ำซาวข้าวแทน)
ส่วนผสมเหล่านี้หมักร่วมกันไว้นาน 7 วัน
วิธีทำปุ๋ยน้ำ
- วัตถุดิบ ได้แก่ เศษปลา จำพวกก้างปลา เลือดปลา เมือกปลา หอยเชอรี่ (หรือไข่)
- การหมักจะใช้กากน้ำตาล 1 ส่วน ปลา หอย 3 ส่วน ใส่เชื้อจุลินทรีย์ 1 ลิตร หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 วัน
- การนำมาใช้ สามารถเทปล่อยไปตามน้ำหรือผสมน้ำฉีด โดยผสมปุ๋ยน้ำ 1 ส่วน ต่อ น้ำเปล่า 500 ส่วน
- สถานที่นำไปใช้ ในนาข้าว กับพืชผักไม้ผล ได้ผลดีมาก
|
|
ภาพที่ 65 กลุ่มศึกษาดูพันธุ์ข้าวในนา
|
|
ภาพที่ 66 กลุ่มศึกษาดูการทำปุ๋ย
|
|
กลุ่มที่ 5 ศึกษาการแปรรูปผลผลิตข้าวในจังหวัดพิจิตร มีคุณสุข เชื้อหนองปรง เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้เรียนรู้เรื่องการแปรรูปผลผลิต พบว่าชาวนาในจังหวัดพิจิตรส่วนมากปลูกข้าวขายให้กับโรงสี เพื่อนำไปสีเป็นข้าวสาร จึงไม่ค่อยมีการแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์อะไร เท่าที่สังเกตก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชาวนาพิจิตรสามารถผลิตพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ สามารถขายเป็น พันธุ์ข้าวให้กับกลุ่มชาวนาอื่นๆ และมีราคาสูงกว่าการขายให้กับโรงสี
กลุ่มที่ 6 ศึกษาถึงสถานการณ์ปัจจุบันในการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักชีวภาพในจังหวัดพิจิตร มีคุณศุภวิชญ์ วิลาโพธิ เป็นหัวหน้ากลุ่ม จากการเรียนรู้กับคุณมนูญ มณีโชติ และคุณผดุง เครือบุบผา
คุณมนูญ มณีโชติ เป็นชาวนาในนามกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรพิจิตร เป็นผู้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการรวมกลุ่มของบ้านนาราง
ส่วนคุณผดุง บ้านหนองแก หมู่ 2 ตำบลหนองพะยอม อำเภอตะพานหิน ได้เรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการของเกษตรกรชาวนาพิจิตร และเรื่องการทดลองเปรียบเทียบการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพในนาข้าว โดยเฉพาะการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ จากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย โดยไม่หันไปใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงมาก นอกจากนี้ก็ยังได้เรียนรู้วิธีการใช้ ปุ๋ยหมักชีวภาพในแปลงนาเพื่อปรับปรุงดินด้วย
กลุ่มที่ 7 ศึกษาความภูมิใจของชาวนาจังหวัดพิจิตร (กิจกรรมใดที่ภูมิใจ) และนักเรียนชาวนา มีคุณอำไพ แหวนเพชร เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้เรียนรู้ในส่วนของความภูมิใจของคนพิจิตรว่ามีอะไรบ้าง ?
สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจก็คือ การที่กลุ่มชาวนาพิจิตรมีพ่อแม่พี่น้องและสมาชิกรวมใจเป็นกลุ่มเป็นก้อน และการทำนานั้น ชาวนาไม่ใช้สารเคมี ไม่ต้องพึ่งสารเคมี มีการรวมตัวรวมใจกันเหนียวแน่น หันมาทำปุ๋ยอินทรีย์ลดต้นทุน ทำให้สามารถลงทุนน้อยได้ และมีกำไรมากขึ้น รวมถึงขายข้าวได้ราคา ซึ่งรัฐบาลสนใจหันมาให้การสนับสนุน
การศึกษาดูงานในครั้งนี้ นับว่าได้ประโยชน์หลายประการ นักเรียนชาวนาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ในแหล่งการเรียนรู้จังหวัดพิจิตร ได้พยายามเปรียบเทียบว่า ข้อแตกต่างระหว่างการปลูกข้าวในจังหวัดสุพรรณบุรีกับจังหวัดพิจิตร สิ่งใดที่เป็นข้อดีข้อเด่นก็จะนำไปประยุกต์ใช้ โดยยังแสดงเจตนาและจุดยืนอย่างชัดเจนว่าการเกษตรกรรมยั่งยืนที่ทางเลือกที่เหมาะสม จะช่วยให้นักเรียนชาวนาได้วัฒนา
รายงานนี้บันทึกการเรียนรู้ในการไปดูงานอย่างชัดเจนและเป็นระบบดีมาก แต่ไม่ได้บันทึกว่าระหว่างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชาวนาพิจิตรนั้น นักเรียนชาวนาสุพรรณมีการ “ปิ๊งแว้บ” อะไรบ้าง มีการนำเอาความรู้ส่วนไหนบ้างมาลองปรับใช้ และเกิดผลอย่างไรบ้าง บันทึกส่วนที่ขาดไปนี้ น่าจะได้มีการปรับปรุงในโอกาสต่อไป
วิจารณ์ พานิช
๕ มิ.ย. ๔๘