สอนคุณธรรมชาวคริสต์อย่างไรให้ธำรงสามัคคี 1


ประธานอนุกรรมาธิการคุณธรรมและจริยธรรม

สอนคุณธรรมชาวคริสต์อย่างไรให้ธำรงสามัคคี

ข้อความจากพระคัมภีร์

“พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้นพระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่ พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดีบาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้”” (ปฐมกาล 4:4-7) แสดงว่าชาวคริสต์จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้จิตใจมีคุณธรรมความเข้มแข็งอยู่เสมอ พร้อมที่จะตัดสินใจทำดีหนีชั่วในทุกโอกาสที่เผชิญหน้า “ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน” (มัทธิว 6:3-4)

มือขวาคือปัญญาที่รู้รอบว่าต้องทำดี แล้วให้ตัดสินใจลงมือกระทำอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องฟังเสียงมือซ้าย อันเป็นสัญลักษณ์หมายถึงอิทธิพลต่างๆที่ขัดแย้งกับมโนธรรม เช่น กิเลส ความโน้มเอียงสู่โลกียสุข ตัวอย่างเลวๆ ฯลฯ เหล่านี้คือมือซ้ายที่มือขวาไม่พึงคำนึงถึงการเรียกร้องของมัน ให้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญให้กระทำไปเลย ราวกับว่าไม่มีเสียงเรียกร้องเหล่านั้น หรือถ้าดับเสียงมันไม่ได้ก็ให้ถือว่าเป็นเพียงเสียงหอยเสียงปู “เรารู้ว่าความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร เราจึงพยายามชักชวนบุคคลทั้งหลายให้เห็นความจริง เราไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังพระเจ้า และเราหวังว่า ไม่มีสิ่งใดปิ ดบังมโนธรรมของท่านด้วย” (2 โครินธ์ 5:11) เซนต์พอลกล่าวข้อความนี้ในจดหมายถึงชาวโครินธ์ เพื่อชี้แจงว่า เสียงมโนธรรมคือเสียงของพระเจ้า ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจอย่างไร พระเจ้าทรงรู้เห็นอย่างละเอียด มนุษย์ผู้ตัดสินใจจึงพึงตัดสินใจด้วยความรู้สึกยำเกรงพระเจ้า ซึ่งเป็นการตีความคำ “phronesis” ของอริสโทเทิล ซึ่งภาษาอังกฤษแปลด้วยคำ “prudence” ก็ได้ หรือ conscience ก็ได้

ความนำเพื่ออบรมมโนธรรมที่ทุกคนมีโดยธรรมชาติ อันเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาที่รู้จักใช้เหตุผลชาวคริสต์ที่ได้รับการอบรมตามขั้นตอนแห่งชีวิตคริสตชนย่อมชินกับคำถามว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเพื่ออะไร” และคงชินกับคำตอบว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเพื่อรู้จัก รัก และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ทั้งนี้จะได้มีความสุขกับพระองค์ร่วมกับบริวารของพระองค์ในสวรรค์”

ชาวคริสต์จึงเชื่อว่าชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตชั่วคราว เหมือนช่วงเวลาเดินทางไปบ้านของพระบิดา โลกนี้จึงมิใช่บ้านแท้ แต่เป็นที่พักพิงชั่วคราว เป็นสนามสู้รบเอาชนะความลำเอียงสู่บาปที่มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ขยายความได้ต่อไปว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์มาตามพระฉายาของพระองค์ “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง (ปฐมกาล 1 : 27)

ข้อความนี้ชาวคริสต์ทั้งหลายเข้าใจตรงกันว่าพระเจ้าทรงสร้างทั้งชายและหญิงให้มีปัญญาเหมือนพระองค์ และน่าจะมีความบริสุทธ์ิในจิตใจในทำนองเดียวกับพระองค์ ไม่มีความอยากทำบาป และเพื่อชี้แจงให้เห็นเหตุว่าทำไมมนุษย์จึงรู้จักทำชั่ว ก็ต้องหาประสบการณ์แห่งความชั่วมาเล่าว่า “ในบรรดาสัตว์ป่า (wild animal) ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามมิให้กินผลไม้จากต้นใด ๆ ในสวนนี้ หญิงนั้นตอบงูว่า เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่า อย่ากินหรือแตะต้องเป็นอันขาด หากฝ่าฝืนจะต้องตาย งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า เจ้าจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือ สำนึกในความดีและความชั่ว” (ปฐมกาล 3 : 1-5)

เรื่องเล่าของพระคัมภีร์ตอนนี้แสดงเจตนาของผู้เล่าที่จะแยกให้เห็น 2 ช่วงของมนุษย์ ในช่วงแรกผู้เล่าต้องการชี้ให้เห็นว่า ในพระดำริของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้น ทรงพระประสงค์ให้มีชีวิตจิตใจบริสุทธ์ิผ่องแผ้ว พร้อมความสุขสดชื่นบริบูรณ์ จนมนุษย์ไม่รู้จะทำบาปไปทำไม เป็นสภาพของสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างสมบูรณ์ มนุษย์ในสภาพพระฉายาเช่นนี้ไม่มีประสบการณ์แห่งความชั่วและไม่รู้ว่าบาปเป็นอย่างไร ครั้นปฏิเสธน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งผู้เล่าเสนอเป็นเรื่องเล่าปรัมปราว่า เอวากินผลไม้ต้องห้าม ทั้งยังนำเอามาให้อาดัมกินด้วย พลันก็รู้ว่าบาปคืออะไรจากประสบการณ์ตรง ตอนนี้ผู้เล่าชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เริ่มรู้จักตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว เริ่มมีมโนธรรมขึ้นมานั่นเอง ต่อจากนั้นไปมนุษย์อาจจะทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ก่อนหน้านั้นทำดีโดยอัตโนมัติ ตอนหลังนี้มีความสำนึกดีชั่วอันเป็นเสียงของพระเจ้าชี้บอกในความสำนึกว่าอะไรดีอะไรชั่ว การทำดี คือ การกระทำตามเสียงเตือนของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงเตือนมนุษย์ทุกคนอย่างไม่เข้าใครออกใคร และไม่ทรงไว้หน้าใคร

นักปรัชญาเรียกว่าเสียงของมโนธรรม คือเป็นความสำนึกถึงมาตรการดี/ชั่ว ที่บอกว่าอะไรควรทำ อะไรพึงหลีกเลี่ยง ชาวคริสต์เรียกว่าเสียงสวรรค์หรือเสียงของพระเจ้า เพราะเชื่อว่าพระองค์ทรงหวังดีต่อมนุษย์ จึงทรงคอยตะล่อมมนุษย์ให้ทำดีด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่ทรงบังคับหรือฝืนใจมนุษย์คนใดเลย แต่ก็ทรงห่วงใยถึงขนาดประทานพลังกำกับมากับเสียงเตือนอย่างเพียงพอให้ทำดีหนีชั่วได้ทุกครั้ง ผู้ฝ่าฝืนมโนธรรมเท่านั้นจึงจะทำบาป ใครทำตามเสียงของพระเจ้าย่อมได้บุญเสมอ พระเจ้ามิได้ทรงพระประสงค์ให้มนุษย์แต่ละคนทำดีเพียงครั้งเดียว แต่ทรงประทานกำลังใจเกื้อหนุนให้ทำดีจนเคยชิน ซึ่งเมื่อทำได้แล้วอย่างมั่นคง ก็ถือว่ามีคุณธรรมในเรื่องที่ทำนั้น พลังทำดีและกำลังใจเกื้อหนุนแสดงถึงพระทัยดีที่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทำดีหนีชั่ว ซึ่งทรงสัญญาจะประทานให้อย่างพอเพียงเสมอ เรียกว่า “พระหรรษทานหรือพระพร” (grace) พลังเช่นนี้ช่วยให้มนุษย์ทำดีได้อย่างมั่นคงจนเป็นคุณธรรม (virtue) ชาวคริสต์ยุคกลางเชื่อว่าพระเจ้าประทานความสว่างดลใจให้อริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีกมีชีวิตก่อนพระเยซูเกือบ 400 ปี ทรงดลใจให้คิดอย่างดีไว้ล่วงหน้า จนอาจเอามาเสริมคำสอนของศาสนาคริสต์ได้เป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเรื่องคุณธรรม และคุณธรรมแม่บท 4 ทำให้มั่นใจได้ว่าคำสอนที่เป็นวิวรณ์ของศาสนาคริสต์ อาจจะอธิบายด้วยเหตุผลของนักปรัชญาได้เป็นอย่างดี ช่วยให้เกิดความเข้าใจชัดเจนขึ้นในเจตนาของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้มิได้หมายความว่าพระเยซูสอนเหมือนอริสโทเทิลหรืออริสโทเทิลสอนเหมือนพระเยซู แต่หมายความเพียงแต่ว่าเสริมกันได้อย่างดีเป็นบางเรื่อง

ศาสนาคริสต์เห็นพ้องกับทุกศาสนาว่าต่อไปนี้คือสัจธรรมชีวิต สัตว์โลกทุกตัวตนอยากมีความสุขพ้นความทุกข์ สัตว์โลกที่ฉลาดจึงพยายามเรียนรู้สัจธรรมดังกล่าว การศึกษามุ่งให้ผู้เรียน เก่ง ดี มีสุขแท้

- สุขเทียมเป็นความสุขชั่วแล่น ตามด้วยทุกข์ จึงไม่เก่ง ไม่ดี ไม่มีความสุขแท้

- เก่ง คือ สามารถทำการอย่างบกพร่องน้อยที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด

- เก่งและไม่ดี มีความสำเร็จอย่างไร้คุณธรรม สร้างความเดือดร้อน

- เก่งและดี มีความสำเร็จอย่างมีคุณธรรม สร้างความสุขสงบ

หมายเลขบันทึก: 134205เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2007 18:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2016 18:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท