สาระความรู้ : เรื่องสมุนไพร


สาระความรู้ : เรื่องสมุนไพร
เกร็ดความรู้: บำบัดผิวให้สวยกระจ่างใสด้วยพลังผักผลไม้
สาระความรู้
บำบัดผิวให้สวยกระจ่างใสด้วยพลังผักผลไม้


มลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด และความเครียด เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่คอยบ่อนทำลายผิวสวยแก้มใสของคุณให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ หมองคล้ำ ไม่พิสุทธิใสอย่างวัยแรกสาว

คุณไม่ต้องวิตกกังวลใจจนถึงขั้นซื้อหยูกซื้อยารักษาสิวรักษาฝ้า มาร์คหน้า พอกหน้าด้วยสารพัดเครื่องสำอางราคาแพงลิบลิ่ว ก่อนสิ่งอื่นใดคุณน่าจะลองมองหาวิธีแก้ไขในเบื้องต้นที่จะช่วยบำบัดผิวให้กลับมากระจ่างใส ด้วยพืชผักผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ แถมยังหาง่ายมีใกล้ ๆ ตัวค่ะ

เกร็ดความรู้: ของดีในกระเทียม
สาระความรู้
รู้ไหมคะว่า "กระเทียม" เป็นของคู่ครัวไทยมาแต่ไหนแต่ไร จะผัด จะหมัก จะต้ม จะแกง เครื่องปรุงแบบไทยๆ นิยมใช้กระเทียมเข้าไปผสมทั้งนั้น

กลิ่นของกระเทียมสำคัญอย่างไร
        ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า กลิ่นของกระเทียมช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี แต่บางคนก็รังเกียจกลิ่นฉุนของกระเทียม วิธีดับกลิ่นทำได้ไม่ยากค่ะ กินคู่กับผักชีฝรั่งเท่านี้กระเทียมก็จ๋อยหมดสิทธ์ส่งกลิ่นออกมาทำร้ายอารมณ์คุณ สังเกตุไหมว่าเวลาปอกกระเทียม บางคนอาจมีอาการน้ำตาไหลแบบไม่เศร้าโศกออกมาได้ เพราะใน กระเทียมมีน้ำมันที่อาจทำให้แสบตา แต่เจ้าน้ำมันที่ว่านี้แหละ ต้นตอกลิ่นหอมของกระเทียวเจียว และ น้ำมันในกลีบกระเทียมยังแก้กลากเกลื้อนได้อีก


หมายเหตุ: ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Health & Cuisine
เกร็ดความรู้: หญ้าขัดมอญ ไม้ปัดกวาดโรคภัย
สาระความรู้หญ้าขัดมอญ ไม้ปัดกวาดโรคภัย

หญ้าขัดมอญเป็นพืชตระกูลชบา ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมตัดมาตากแห้ง ปล่อยให้ใบหลุดร่วงแล้วเอามัดรวมกันสัก 2-3 ต้นพอเหมาะมือ ใช้เป็นไม้กวาดทำความสะอาดบ้านเรือน เรียกกันว่าไม้กวาดขัดมอญ

        ลำต้นของหญ้าขัดมอญมีความเหนียวดีมากไม่เปราะหัก จึงเหมาะกับการใช้กวาดลานบ้านได้อย่างดี แต่ต้นไม้ที่เรียกกันว่าหญ้านี้ชาวบ้านยังนิยมใช้เป็นยาได้หลายชนิด อาจพูดได้ว่าเป็นยาปัดเป่าโรคภัยที่ดีชนิดหนึ่ง เช่น มีบางคนนำมาต้มกินเพื่อรักษาโรคความดันโลหิต โดยอาจจะต้มกินเดี่ยวๆ หรือต้มรวมกับรากหญ้าคา ซึ่งสมุนไพรหญ้าขัดมอญกับหญ้าคานี้ นับถือกันเป็นฝาแฝดคู่กันเสมอ เพื่อใช้เป็นยาขับปัสสาวะและลดความดันโลหิต
เกร็ดความรู้: อาการแพ้ที่เกิดจากสมุนไพร
สาระความรู้
อาการแพ้ที่เกิดจากสมุนไพร


:: บทนำ ::
    สมุนไพรมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับยาทั่วไป คือมีทั้งคุณและโทษ บางคนใช้แล้วเกิดอาการแพ้ได้ แต่เกิดขึ้นได้น้อยเพราะสมุนไพรมิใช่สารเคมี ชนิดเดียว เช่น ยาแผนปัจจุบัน ฤทธิ์จึงไม่รุนแรง (ยกเว้นพวกพืชพิษบางชนิด) แต่ถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นควรหยุดยาเสียก่อนถ้าหยุดแล้วอาการหายไป อาจทดลองให้ยาอีกครั้งโดยระมัดระวัง ถ้าอาการเช่นเดิมเกิดขึ้นอีก แสดงว่าเป็นพิษของ ยาสมุนไพรแน่ ควรหยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือถ้าอาการแพ้รุนแรงควรไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยและโรงพยาบาล
 
:: อาการที่เกิดจากการแพ้ยาสมุนไพรมีดังนี้ ::
    ๑. ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็ก ๆ ตุ่มโต ๆ เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ อาจบวมที่ตา (ตาปิด) หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ) หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
    ๒. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) ถ้ามีอยู่ก่อนกินยาอาจเป็นเพราะโรค
    ๓. หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
    ๔. ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่นเพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ ลูบผมก็แสบ หนัง ศีรษะ ฯลฯ
    ๕. ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อย ๆ
    ๖. ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลือง เขย่าเกิดฟองสีเหลือง (เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรง ต้องรีบไป หาแพทย์อาการเจ็บป่วยและโรคที่ไม่ควรใช้สมุนไพรหรือ ซื้อยารับประทานด้วยตนเอง
    หากผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงโรคเรื้อรัง หรือโรคที่ยังพิสูจน์ ไม่ได้แน่ชัดว่ารักษาด้วย สมุนไพรได้ เช่น งูพิษกัด สุนัขบ้ากัด บาดทะยัก กระดูกหัก มะเร็ง วัณโรค กามโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเรื้อน ดีซ่าน หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม (ปอดอักเสบ) อาการบวม ไทฟอยด์ โรคตาทุกชนิด ไม่ควรใช้สมุนไพร
    ถ้าผู้ป่วยมีอาการโรค/อาการเจ็บป่วยที่รุนแรง ต้องนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ทันที ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยารับประทานเอง หรือใช้สมุนไพร
 
:: อาการที่รุนแรงมีดังนี้ ::
    ๑. ไข้สูง (ตัวร้อนจัด) ตาแดง ปวดเมื่อยมาก ซึม บางทีพูดเพ้อ (อาจเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้ป่าชนิดขึ้น สมอง)
    ๒. ไข้สูงและดีซ่าน (ตัวเหลือง) อ่อนเพลียมาก อาจเจ็บในแถวชายโครง (อาจเป็นโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ฯลฯ)
    ๓. ปวดแถวสะดือ เวลาเอามือกดเจ็บปวดมากขึ้น หน้าท้องแข็ง อาจท้องผูกและมีไข้เล็กน้อยหรือมาก (อาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ อย่างแรงหรือลำไส้ส่วนอื่นอักเสบ)
    ๔. เจ็บแปลบในท้องคล้ายมีอะไรฉีกขาด ปวดท้องรุนแรงมาก ท้องแข็ง อาจมีตัวร้อนและคลื่นไส้ อาเจียนด้วยบางที่มีประวัติปวดท้องบ่อย ๆ มาก่อน (อาจมีการทะลุของกระเพาะอาหารหรือ ลำไส้)
    ๕. อาเจียนเป็นโลหิตหรือไอเป็นโลหิต (อาจเป็นโรคร้ายแรงของ กระเพาะอาหารหรือปอด) ต้องให้คน ไข้นอนพักนิ่ง ๆ ก่อน ถ้าแพทย์อยู่ใกล้ควรเชิญมาตรวจที่บ้าน ถ้าจำเป็นต้องพาไปหาแพทย์ ควรรอให้เลือดหยุดเสียก่อนและควรพาไปโดยมีการกระเทือนกระแทกน้อยที่สุด
    ๖. ท้องเดินอย่างแรง อุจจาระเป็นน้ำ บางทีมีลักษณะคล้ายน้ำ ซาวข้าว บางทีถ่ายพุ่ง ถ่ายติดต่อกันอย่างรวดเร็ว คนไข้อ่อนเพลียมาก ตาลึก หนังแห้ง (อาจเป็นอหิวาตกโรค) ต้องพาไปหาแพทย์โดยด่วน ถ้าไปไม่ไหวต้องแจ้งแพทย์หรืออนามัยที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว
    ๗. ถ่ายอุจจาระเป็นมูกและเลือด บางทีเกือบไม่มีเนื้ออุจจาระเลย ถ่ายบ่อยมาก อาจจะตั้งสิบครั้งในหนึ่งชั่วโมง คนไข้เพลียมาก (อาจเป็นโรคบิดอย่างรุนแรง)
    ๘. สำหรับเด็ก โดยเฉพาะอายุภายในสิบสองปี ไข้สูง ไอมาก หายใจมีเสียงผิดปกติ คล้าย ๆ กับมีอะไรติดอยู่ในคอ บางทีมีอาการหน้าเขียวด้วย (อาจเป็นโรคคอตีบ) ต้องรีบพาไปหาแพทย์โดยด่วนที่สุด
    ๙. อาการตกเลือดเป็นเลือดสด ๆ จากทางไหนก็ตาม โดยเฉพาะทางช่องคลอด ต้องพาไปหา แพทย์โดยเร็วที่สุด
เกร็ดความรู้: ว่านชักมดลูกกินแล้วสวยจริงหรือ?
สาระความรู้
ว่านชักมดลูกกินแล้วสวยจริงหรือ?


"ว่านชักมดลูก" เป็นพืชในสกุลเดียวกับขมิ้นชัน Curcuma comosa เป็นว่านชักมดลูกพันธุ์พื้นเมืองของไทย บางตำราเรียกว่า ว่านชักมดลูกตัวเมีย ส่วน Curcuma xanthorrhiza เป็นว่านชักมดลูกอีกชนิดหนึ่งแต่เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย
บางตำราเรียกว่าว่านชักมดลูกตัวผู้ ลัษณะทางพฤกษศาสตร์จะคล้ายคลึงกัน แต่ C.xanthorrhiza เส้นกลางใบมีสีน้ำตาลอมแดง ขณะที่ C.comsoa เส้นกลางใบไม่มีสีน้ำตาลอมแดง

ตามตำรายาแผนโบราณว่า เหง้า รสฝาดเฝื่อน ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกพิการ แก้ปวดมดลูก แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ยอย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน ปรุงยาแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ แก้โรคมะเร็ง และฝีภายในต่างๆ

สำหรับรายงานการวิจัยว่านชักมดลูกในส่วนที่ตรงกับสรรพคุณยาไทยนั้น เป็นงานวิจัยฤทธิ์ของว่านชักมดลูกชนิด C.comosa โดยพบว่า

* เมื่อฉีดสารสกัดเหง้าว่านชักมดลูกเข้าช่องท้องของหนูขาวเพศเมียที่ยังไม่โตเต็มที่ และถูกตัดรังไข่ออก พบว่าสารสกัดด้วยเฮกเซนมีฤทธิ์แรงที่สุดในการเพิ่มน้ำหนักมดลูก และปริมาณไกลโคเจน และยังทำให้เกิดการหนาตัวของเยื่อบุผิวช่องคลอด

โดยมีฤทธิ์น้อยกว่าฮอร์โมนเอสตราไดออล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง แต่สามารถเสริมฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสตราไดออลต่อมดลูกของหนูได้ แสดงให้เห็นว่าว่านชักมดลูกมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง


* สารสกัดเหง้าของเอธานอลสามารถลดฤทธิ์ของสารหลายชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นให้มดลูกหดตัว เช่น qzytocin, acetylcholine, serotonin ฤทธิ์นี้อาจช่วยอธิบายสรรพคุณของว่านชักมดลูกในการบรรเทาอาการปวดมดลูกได้

* การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดของว่านชักมดลูกทั้งสองชนิด มีฤทธิ์การกระตุ้นการหลั่งน้ำดี และลดคอเลสเตอรอลและไดรกรีเซอไรค์ในเลือดได้ จากการที่ว่านชักมดลูกมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี จึงไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาท่อน้ำดีอุดตัน หรือเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และไม่ควรใช้ว่านชักมดลูกติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือในขนาดสูง เพราะจะทำให้มีอาการปวดท้องได้

เหล่านี้เป็นข้อมูลที่คาดว่าจะเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจก่อนบริโภคได้ ที่สำคัญอยากเตือนว่าก่อนจะบริโภคสมุนไพรชนิดใด ควรตั้งคำถามกับตัวเองเสียก่อนว่า จะกินทำไม่ ต้องการกินเพื่ออะไร มีความจำเป็นหรือไม่

สรุปว่าควรถามใจตัวให้แน่นอนก่อนดีกว่า ว่ากันอย่างนั้นเถอะ เพราะว่านชักมดลูกเป็นฮอร์โมนจริงๆ การบริโภคในปริมาณที่เกินความจำเป็นอาจเกิดปัญหาได้ เช่น ช่องคลอดมีเลือดออกไม่หยุด ปวดหลัง ปวดท้อง อาการดังกล่าวเป็นการบอกเล่าจากผู้บริโภคว่านชักมดลูกเป็นเวลานาน หารือมาที่เรา แค่เขากินเพื่อความสวยงาม

ดังนั้นจึงขอย้ำว่าการบริโภคอยากให้เน้นเพื่อเป็นยารักษาให้ตรงอาการ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ และไม่ควรกินพร่ำเพรื่อ หรือมุ่งเฉพาะเพียงแค่ความสวยงาม หรือผลเรื่องสมรรถภาพทางเพศและการนำไปใช้ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้รู้จริง



เกร็ดความรู้: แนะกินสมุนไพรแทนน้ำอัดลม
สาระความรู้
แนะกินสมุนไพรแทนน้ำอัดลม


                มูลนิธิสุขภาพไทยเป็นห่วงสุขภาพคนไทย กล่าวถึงพิษภัยในการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำว่า ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด เนื่องจากมีส่วนผสมประกอบไปด้วย น้ำ, น้ำตาล กรดฟอสฟอริกที่ผสมลงไปเพื่อรักษารสชาติให้คงเดิมอยู่เสมอ และคาร์บอเนตที่เกิดมาจากกระบวนการผลิต

                ในส่วนของกรดฟอสฟอริก หากรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดความเสี่ยง ในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากขึ้น แหล่งข่าวจากมูลนิธิสุขภาพไทยระบุว่า นอกจากการดื่มน้ำอัดลมจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้นแล้ว

                ภาวะการเป็นกรดที่สูงของน้ำอัดลมยังทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และยังก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น ฟันผุ โรคอ้วน อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วย

                จากปัญหาสุขภาพที่เกิดจากน้ำอัดลมนี้ ทำให้บางประเทศห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียน เพราะเชื่อว่าอะไร ที่ฝังไปในความเคยชินของเด็กแล้วจะติดเป็นนิสัยไปจนโต ซึ่งการติดน้ำอัดลมของเด็กๆ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไทยเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น

                พร้อมทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำสมุนไพรแทนซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น มะตูม ใบบัวบก ลูกยอ ว่านหางจระเข้ เป็นต้น ซึ่งน้ำสมุนไพรแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแตกต่างกันไปตามสรรพคุณของสมุนไพรนั้นๆ แต่โดยรวมแล้ว การดื่มน้ำสมุนไพรจะทำให้ร่างกายได้วิตามินและเกลือแร่บางชนิด เช่น วิตามินเอ, ซี, อี รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย

                ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่ได้รับจากน้ำอัดลม ขณะเดียวกัน น้ำสมุนไพรบางชนิดยังมีใยอาหารซึ่งช่วยในการขับถ่ายและขับสารพิษบางชนิดออกจากร่างกายได้ บางชนิดมีวัตถุสีเขียวที่เรียกว่าคลอโรฟิล ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเลือดได้ บางชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง น้ำสมุนไพรยังมีประโยชน์อื่นอีกมากมาย ทั้งยังสะดวกในการรับประทานเช่นเดียวกับน้ำอัดล

เกร็ดความรู้: มหัศจรรย์แห่ง...มะเขือเทศ
สาระความรู้
มหัศจรรย์แห่ง...มะเขือเทศ

มะเขือเทศผลสีแดงๆ นี้ น่าจะจัดอยู่ในจำพวกผลไม้ เพราะมันเป็นผลของต้นไม้ แต่ในความเป็นจริงเรานิยมจัดมะเขือเทศไว้ในจำพวกผักมากกว่า มีใครบ้างมั้ยที่ไม่รู้จักมะเขือเทศ มะเขือเทศมีชื่อเรียกหลายชื่อ คนเหนือจะเรียกว่า "มะเขือส้ม" ส่วนคนอีสานเรียกว่า "มะเขือเครือ"

มะเขือเทศสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในแบบผัดผัก ข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ซุปทั้งใสและข้น ยำต่างๆ รวมไปถึงส้มตำ อาหารอันโอชะของใครต่อใครหลายคนก็เหมือนจะขาดมะเขือเทศไม่ได้ เพราะนอกจากจะสร้างสีสันแล้วยังเพิ่มรสชาติให้อีกด้วย หากจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่มก็ชุ่มคอชื่นใจดี หรือทำเป็นซอสมาปรุงรสอาหารก็ได้ ในผลของมะเขือเทศนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก

มะเขือเทศช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระตุ้นน้ำย่อย ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยการระบายการขับถ่ายให้สะดวกขึ้นอีกด้วย และมีการวิจัยกันว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมลูกหมากที่คุณผู้ชายกลัวนักกลัวหนา

นอกจากวิตามินซี ที่มีสูงในมะเขือเทศแล้ว วิตามินอื่นๆ ก็มีอยู่ครบทุกชนิด แถมเปลือกนอกของมะเขือเทศยังมีสารชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกองุ่นแดงที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมะเขือเทศนอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงอีกด้วย ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงาม กลัวรอยเหี่ยวย่นจะมาเยือนเร็วเกินไป ลองนำมะเขือเทศสุกมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้ววางแปะไว้บนหน้า หรือใช้น้ำมะเขือเทศคั้นสดๆ ทาตามใบหน้า เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวลขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้นเมล็ดของมะเขือเทศยังเอามาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ได้ หรือนำมาสกัดเอาน้ำมันเพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมสี และกากที่เหลือยังใช้เลี้ยงสัตว์กับเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย

เห็นคุณประโยชน์ของมะเขือเทศมากมายขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้เรียกว่าเป็น ผักมหัศจรรย์ได้อย่างไร

บทความ: กระชายดำกับตำนานสรรพคุณ
สาระความรู้ 
กระชายดำกับตำนานสรรพคุณ


กระชายดำ   เป็นพืชสมุนไพรที่มีการกล่าวถึงสรรพคุณกันอย่างมากมาย ทั้งสรรพคุณทางไสย-เวทย์ สรรพคุณทางสมุนไพร และสรรพคุณทางยาแผนปัจจุบัน  การกล่าวถึงสรรพคุณที่มากมายจนกลายเป็นตำนานสืบทอดต่อกันมานั้น  สามารถบันทึกและรวบรวมไว้ดังนี้



       ในสมัยโบราณมีการบันทึกถึงการใช้ว่านกระชายดำในทางคงกระพันชาตรี ต่อต้านศาสตราวุธ และแคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบได้เป็นอย่างดี  มีตำนานเล่าขานกันมาว่า  นักรบในสมัยโบราณมักพกกระชายดำติดตัวไปทุกครั้งเมื่อออกสนามรบและจะเคี้ยวอมไว้ในปากเวลาต่อสู้กับข้าศึก  แต่ต้องคำนึงถึงที่มาของว่านด้วย  เพราะการที่ว่านจะมีอิทธิฤทธิ์นั้น จะต้องมีขั้นตอนของการทำพิธีกรรมทางไสยเวทย์ โดยการบรมคาถากำกับ จากครูบาหรือพระครูที่ผ่านการเรียนรู้มาอย่างถูกต้อง  มีการกำหนดพิธีกรรมตั้งแต่การลงปลูกครั้งแรก และต้องมีฤกษ์ยามประกอบด้วย การดูแลรักษาจะต้องพิถีพิถันตามหลักการของพิธีกรรม และเวลาเก็บว่านต้องดูฤกษ์ยาม พร้อมกับทำพิธีกรรมบรมคาถากำกับด้วย  สำคัญผู้ที่จะรับว่านไปใช้จะต้องมีการตั้งครูก่อนที่จะรับของดี  และต้องมีวันเวลาบูชาครูตามฤกษ์ยามอีกด้วย  หลักการเช่นนี้มีบันทึกในตำราไสยเวทย์และคาถาอาคมฉบับโบราณ

     ในตำรายาโบราณบางฉบับมีการบันทึกถึงการนำกระชายดำไปใช้เป็นยาสมุนไพร ในหลายตำรับ  ดังเช่นคัมภีร์ยา  นพเก้า ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดของตำรายาสมุนไพร ซึ่งมีตัวยาทั้งหมด 9 ชนิดและกระชายดำก็เป็นหนึ่งในเก้าชนิดนั้นเช่นกัน  ตำรายาของขอมโบราณก็มีการบันทึกตำรับยากระชายดำผสมน้ำผึ้งเดือนห้าไว้ด้วย

       ส่วนตำราว่านมหามงคลนั้นก็มีบันทึกถึงกระชายดำเช่นกันว่า เป็นว่านมหามงคล มีเมตตามหานิยม  คงกระพันชาตรี  ถ้าปลูกไว้หน้าบ้าน หรือปลูกใส่กระถางนำไปตั้งไว้หน้าบ้านจะเป็นสิริมงคลมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในบ้าน ป้องกันภูตผีปีศาจ ซึ่งบรรดานักเลงว่านทั้งหลายนิยมสะสมกันมานาน และในสมัยก่อนถือว่าเป็นว่านที่หายากมีราคาแพง

       หมอพื้นบ้านมีการนำว่านกระชายดำมาใช้เป็นส่วนผสมของสูตรยาสมุนไพรมานานแล้ว  โดยเฉพาะยารักษาโรคต่าง ๆ และยาชูกำลังหรือยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศ แต่จะเก็บไว้เป็นความลับเฉพาะตัวบุคคลไม่เผยแพร่ให้รู้จัก เพราะเชื่อกันว่าตัวยานี้มีครูที่จะต้องเก็บรักษามีคาถาอาคมประกอบ และต้องมีสัจจะต่อครูบาอาจารย์คือไม่ให้เปิดเผยโดยทั่วไป ยกเว้นเสียแต่ว่ามีผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนจะได้รับการถ่ายทอดวิชาและสอนตำรับยาอย่างเป็นทางการนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรม   การสาบานตนเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ และต้องเสียค่าบูชาหรือที่เรียกว่าค่าครูด้วย  มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง  ด้วยวิธีการถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องสูตรยาสมุนไพรที่ยุ่งยากซับซ้อนนี้  จึงทำให้คนรุ่นหลังไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ทำให้ตำรายาดี ๆ หลายตำรับหายสาบสูญไปกับเจ้าของสูตรนั้นมามากต่อมากแล้ว   กระชายดำก็เช่นกันแม้จะมีการใช้ทำยามานานแต่ถูกปิดบังโดยเงื่อนไขทางพิธีกรรมที่สืบทอดกันมา จึงทำให้สมุนไพรชนิดนี้ในอดีตไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก  แต่ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ

วิธีปลูกกระชายดำ

จะใช้ หัวพันธุ์, ต้นพันธุ์ หรือแบ่งเหง้าจากต้นที่เติบโตสมบูรณ์แล้ว นำมาปลูก สามารถปลูกในกระถางเพื่อเป็นไม้ประดับหรือปลูกรวมกับว่านชนิดอื่น ๆ ในลักษณะของรังว่านก็ได้ กระชายดำเป็นพืชที่ปลูกง่าย ขึ้นได้ดีในดินที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรีย์วัตถุสูง ควรเป็นดินร่วนปนทรายเช่น ดินขุยไผ่ ชอบที่ร่มแสงร่มรำไร การดูแลรักษาก็ง่าย แค่รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้แฉะ ดายหญ้าและคอยกำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักตามสมควร หรือหากดินที่ปลูกอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วอาจไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลยก็ได้ ส่วนแมลงรบกวนนั้นเท่าที่ทราบมาก็มีแต่หอยทากเท่านั้นที่จะมากินใบของกระชายดำ ปัญหาที่พบมากคือเมื่อมีน้ำท่วมขังหรือฝนตกชุกมาก เหง้าของกระชายดำจะเน่า แต่การยกร่องก่อนปลูกจะช่วยได้มาก หากพื้นที่ที่จะปลูกเป็นที่ลาดชัน (slope)อาจไม่ต้องยกร่องก็ได้

ฤดูปลูก

ปลูกได้ทั้งปี แต่ฤดูปลูกที่เหมาะสมอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม

การเตรียมหัวกระชายดำสำหรับปลูก

หัวกระชายดำหัวหนึ่งจะมีหลายแง่ง ให้บิ(หัก)ออกมาเป็นแง่งๆ ถ้าแง่งเล็กก็ 2-3 แง่ง ถ้า แง่งใหญ่สมบูรณ์ก็แค่แง่งเดียวก็พอ เพราะเมื่อกระชายดำโตขึ้น กระชายดำก็จะแตกหน่อ และเกิดหัวกระชายดำหัวใหม่ขึ้นมาแทน และจะขยายหัวและหน่อออกไปเรื่อยๆ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ส่วนหัวหรือแง่งที่ใช้ปลูกในตอนแรกจะเหี่ยวและแห้งไปในที่สุด

ก่อนนำไปปลูก ควรทารอยแผลของแง่งกระชายดำที่ถูกหักออกมาด้วยปูนกินหมาก หรือจะจุ่มในน้ำยากันเชื้อราก็ได้ แล้วผึ่งในที่ร่มจนหมาดหรือแห้ง แล้วจึงนำไปปลูก(น้ำยากันเชื้อรามีจำหน่ายตามร้านเคมีภัณฑ์การเกษตรทั่วไป ขวดเล็กๆราคาไม่ถึงร้อยบาทก็มี)

การปลูกลงในกระถาง

ควรใช้กระถางที่มีขนาดกลาง -ใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 - 18 นิ้ว เพื่อให้มีพื้นที่ในการขยายหัวหรือเหง้า ใส่วัสดุปลูกให้มาก ๆ ประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของกระถาง (ปุ๋ยคอก 1 ส่วน/ดิน 2 ส่วน) จะทำให้ได้หัวที่มีคุณภาพและมีปริมาณหัวต่อต้นมาก การปลูกในกระถางควรใช้หัวหรือเหง้า ประมาณ 3 - 5 หัว(แง่ง) แล้วแต่ขนาดของกระถาง

การปลูกลงแปลง

ต้องเตรียมแปลงปลูก โดยการพรวนดินตากแดดทิ้งไว้นาน 5 - 7 วัน เพื่อปรับสภาพดิน ยกร่องกว้างประมาณ 1.50 เมตร ขุดหลุมลึกประมาณ 10 - 15 ซม.ใส่ปุ๋ยคอกให้พอเหมาะ แล้วทำการปลูก ระยะห่างระหว่างหลุมและแถวประมาณ 30 X 30 ซม. ใส่หัวหรือเหง้า 2 -3 หัว(แง่ง) ต่อหลุม แล้วกลบหลุมรดน้ำให้ชุ่ม

การปลูกในไร่ (กรณีปลูกปริมาณมากๆ)

การเตรียมดิน

ควรไถ 2 ครั้ง ครั้งแรกไถพรวนเพื่อย่อยดิน ทำการยกร่องปลูก ระหว่างต้นประมาณ 25 - 30 ซม. ก่อนปลูกควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินในอัตรา 200 - 400 กก./ไร่ ทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน วิธีการปลูกก็โดยฝังเง้าหรือหัวพันธุ์ลงในหลุมปลูกลึก ประมาณ 5 - 10 ซม.ในพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้เหง้าพันธุ์ประมาณ 160 - 200 กก.

การดูแลรักษา

เมื่อต้นกระชายดำอายุได้ 1 เดือน ควรดายหญ้ากำจัดวัชพืชพร้อมทั้งใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1,000 กก./ไร่ ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีเพราะจะทำให้หน่อกระชายดำที่เกิดใหม่ยาว และสีของหัวกระชายดำไม่ดำ ทำให้คุณภาพเปลี่ยนไป และเมื่อต้นกระชายดำอายุได้ 2 เดือน ให้พรวนดินกลบโคนต้นควรมีการปลูกซ่อมในหลุมที่ไม่งอก

การเก็บเกี่ยว

เมื่อกระชายดำอายุได้ 10 -12 เดือน สังเกตจากใบและลำต้นจะเริ่มเหี่ยวแห้งและหลุดออกจากต้น ระยะนี้ คือ ระยะพักตัวของกระชายดำเพราะจะทำให้กระชายดำมีโอกาส ได้สะสมอาหารและตัวยาได้เข้มข้นอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะขยายพันธุ์ต่อไป จึงเป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้ดี ทำให้ได้กระชายดำที่มีคุณภาพดี กระชายดำที่ปลูกในเขตพื้นที่อำเภอนาแห้ว - อำเภอภูเรือ จะได้รับผลผลิตประมาณ 650 - 900 กก./ไร่

การเก็บรักษาพันธุ์

กระชายดำที่แก่จัดจะมีอายุประมาณ 11 - 12 เดือน หัวจะต้องสมบูรณ์ อวบใหญ่ปราศจากเชื้อโรค เก็บไว้ในที่แห้งและเย็นนาน ประมาณ 1 - 3 เดือน จึงจะนำไปปลูกต่อได้

บทความ: ยาจากทะเล
สาระความรู้
ยาจากทะเล

            เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรและยาที่ได้จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เรามักจะนึกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพืชสมุนไพร ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นบนบก หรือถ้าเป็นพืชน้ำ ก็มักเป็นพืชที่สามารถเก็บได้โดยง่ายจากแหล่งน้ำจืด แต่น้อยคนที่จะคิดเลยไปถึงว่า อันที่จริงแล้วนั้น สมุนไพร มีความหมายครอบคลุมรวมไปถึงสิ่งที่นำมาใช้เป็นยาที่ได้จากทั้งพืช สัตว์ และแร่ธาตุ และได้มาจากทุกแหล่งที่สามารถหาได้ ซึ่งรวมไปถึงท้องทะเลด้วยเช่นกัน

        ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกในเลยที่เราจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลมาพัฒนาเพื่อค้นหายาใหม่ได้ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นพืชหรือสัตว์ทะเล เพราะท้องทะเลจัดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก คาดกันว่าไม่น้อยกว่า 95% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ อาศัยอยู่ในทะเล และเนื่องจากระบบนิเวศน์ของท้องทะเลมีความหลากหลายสูงอย่างยิ่ง ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่เป็นสมาชิกของระบบนิเวศน์นี้ จึงต้องมีวิวัฒนาการเพื่อปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้สามารถอยู่รอดในระบบนิเวศน์นั้นๆ ได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างสารเคมีใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยพบมาก่อนในพืชและสัตว์ที่เราพบบนบก

            ปัจจุบันนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่หันมาให้ความสนใจกับส
คำสำคัญ (Tags): #kmeduyala3#kmobec
หมายเลขบันทึก: 133925เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2007 10:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 15:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อยากซื้อหญ้าขัดมอญ หนุมานประสานกาย หญ้าหวาน เป็นจำนวนมาก ติดต่อซื้อได้ที่ไหนคะ จากนักศึกษาแพทย์แผนไทยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท