“โภคิน”
ปัดนำเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ เข้าสภา อ้างไม่มีอำนาจสั่งการ ระบุสหรัฐฯ
ต้องขออนุญาตรัฐสภาเพราะระบบไม่เหมือนประเทศไทย
แนะช่องทางตั้งกระทู้-ญัตติแทน ด้าน ประชาธิปัตย์ ชี้ “ทักษิณ” อย่าปัดการมีส่วนร่วม
จี้เปิดเผยผลการเจรจา
วันนี้ (14 ม.ค) นายโภคิน
พลกุล ประธานรัฐสภา
ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลนำรายละเอียดของการเจรจาเขตการค้าเสรี
(FTA) ไทย–สหรัฐฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ ส.ส. และ ส.ว.
มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นว่า คงไม่สามารถบอกรัฐบาลได้ แต่ถ้าสภาฯ
เปิดเมื่อใดก็มีช่องทางที่สมาชิกสามารถตั้งกระทู้ หรือญัตติได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า
มีการนำไปเปรียบเทียบว่าสหรัฐฯ ต้องนำข้อตกลงต่างๆ
ไปขออนุญาตรัฐสภาก่อนนั้น นายโภคิน กล่าวว่า
เป็นเรื่องของระบบแต่ละประเทศ จึงตอบไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด
เพราะระบบของแต่ละประเทศแตกต่างกัน
เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถวิจารณ์เรื่องผลกระทบได้
แต่ถ้าไม่ฟังประชาชนก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดความผิดพลาด
เมื่อถามว่า
มีกระแสข่าวที่ระบุว่าอาจมีการนำข้อตกลง FTA ไทย–สหรัฐฯ
ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความผ่านทางประธานรัฐสภานั้น นายโภคิน กล่าวว่า
จะต้องดูก่อนว่าเข้าเงื่อนไขหรือไม่
เพราะในระบอบประชาธิปไตยมีความแตกต่างทางความคิด
ฝ่ายที่สนับสนุนก็มีเหตุผลเช่นเดียวกับฝ่ายที่คัดค้าน
หากมีหนทางไปสู่ศาลก็ต้องดูว่าศาลจะตัดสินอย่างไร
“ผมอยากย้ำให้สมาชิกรัฐสภา
ใช้ช่องทางกระทู้ และญัตติมากกว่า FTA คงไม่ใช่กฎหมาย
เพราะถ้าเป็นกฎหมายต้องหมายถึงเราต้องมาออกกฎหมายภายใน
แต่อันนี้คงไม่ต้องก็ต้องว่ากันไป
สมัยผมเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
จะนำประเทศเข้า IMF พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านบอกว่าต้องนำเข้าสภาฯ
แต่พอเป็นรัฐบาลก็บอกว่าไม่ต้อง ก็เป็นอย่างนี้ ดูเอาก็แล้วกัน”
นายโภคิน กล่าว
ด้าน นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เรียกร้องให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
สานต่อแนวความคิดที่จะเปิดเผยรายละเอียดการเจรจา
เพราะจะเป็นประโยชน์และจะทำให้การเจรจาง่ายขึ้น กระแสต่อต้านก็ลดลง
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีโจมตีคนที่ออกมาต่อต้านว่าไม่มีความรู้นั้นไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน
“ผมขอยืนยันว่ามีข้อกังวลข้อห่วงใยมาก
ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวหาว่าคนที่เคลื่อนไหวไม่รู้อะไร ไม่จริง
ผมเคยเป็นอาจารย์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เคยมีประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา
และสิทธิบัตร ผมรู้จักหลายคนที่เคลื่อนไหวอยู่
เขาสนใจติดตามเรื่องมาด้วยความห่วงใย
ตั้งแต่สมัยที่นายกรัฐมนตรีทำมาหาเงินอย่างเดียว
ไม่ได้สนใจเรื่องส่วนรวม เขาจึงรู้ปัญหา และที่มาที่ไปพอสมควร”
นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า
นายกรัฐมนตรีอาจจะอ้างความลับในการเจรจา แต่เห็นว่าการเจรจา
และการมีส่วนร่วม สามารถไปพร้อมๆ กันได้
เพราะที่สุดข้อตกลงอาจมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก
เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ
นายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรปฏิเสธการมีส่วนร่วม และข้อตกลงกับสหรัฐฯ
หากจะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย
ตามรัฐธรรมนูญจะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา