นักวิชาการดาหน้าถล่มเอฟทีเอสหรัฐฯ
ชี้ไทยมีแต่เสียเปรียบทุกประตู เตรียมตั้งขบวนการ “เสรีไทย 2549”
ออกแถลงการณ์ผนึกกำลังต้าน ไม่ยอมรับผลเจรจาไม่ชอบธรรม ประกาศต่อต้าน
เลิกซื้อโทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม สินค้าเกษตรฯ
ทีวีบางช่องชี้เป็นสินค้าของกลุ่ม “ธนกิจการเมือง”
วันนี้ (13 ม.ค.)
ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดเสวนาเรื่อง
“มองข้ามชอร์ต เอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ แง่มุมที่ถูกละเลย”
โดยมีวิทยากรเข้าร่วมการเสวนา ประกอบด้วย นายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์
นักวิจัยจากสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ
น.ส.จิราพร ลิ้มปานานนท์ หัวหน้าปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และอาจารย์คณะสังคมศาสตร์
ภาควิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นายสมเกียรติ
ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการเจรจาครั้งนี้ว่า
ในเรื่องการคาดหวังในการเจรจานั้นมีบางประการของรัฐบาลและคณะผู้เจรจาไทยอาจจะประสบความสำเร็จได้ยาก
เนื่องจากมีเป้าหมายที่สูงเกินไป 5 ประเภท คือ
1.ความคาดหวังที่เป็นไปได้ยากทางการเมือง เช่น
การขอเจรจาความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่มีอยู่ในกฎหมายสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะในเรื่องการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น
ที่คณะผู้เจรจาของสหรัฐฯ ไม่ได้รับมอบหมายอำนาจจากรัฐสภาของสหรัฐฯ
ให้เจราจาได้ 2.ความคาดหวังในประเด็นที่มี่เกี่ยวข้องกับเอฟทีเอโดยตรง
หรือมีความเกี่ยวข้องน้อย เช่น เรื่องการขอวีซ่า
3.ความคาดหวังในประเด็นที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่สูง
หรืออาจมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูง
แต่ความเป็นไปได้มีน้อยมากที่ผู้ประกอบการของไทยจะสามารถพัฒนาศักยภาพให้เพียงพอได้ในระยะสั้นและกลาง
เช่น การเข้าสู่ตลาดการจัดซื้อจัดจ้างในประเทศสหรัฐฯ
ซึ่งมีความซับซ้อนมาก โดยมูลค่าของในตลาดนี้มีถึง 200
บิลลิ่งดอลลาร์สหรัฐ
โดยส่วนตัวเชื่อว่าศักยภาพของผู้ประกอบการของไทยสามารถที่จะพัฒนาศักยภาพให้สามารถแข่งขันในภาคพื้นอินโดจีนได้
แต่ถ้าจะให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถไปจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ
ในเรื่องนี้ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ถ้าจะมีเพียงก็เป็นแค่การจดทะเบียนของบริษัทข้ามชาติที่เป็นสัญชาติไทย
แต่เจ้าของบริษัทตัวจริงก็คือชาวต่างชาติอยู่ดี
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า
ประการที่ 4 คือ
ความคาดหวังต่อประเด็นที่ไม่แน่ชัดว่ามีผลผูกพันต่อคู่เจรจาหรือไม่
เช่น ความคาดหวังต่อจดหมายแนบ (side letter) หรือบันทึกความเข้าใจ
(MOU) ในการรับประกันการเข้าถึงยาของประชาชน
ซึ่งนักกฎหมายระหว่างประเทศหลายคนเห็นว่าเอกสารเหล่านี้มีปัญหาในเรื่องฐานะทางกฎหมายว่าจะสามารถผูกพันทางกฎหมายได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าอาจจะผูกพันทางการเมืองก็ตาม
โดยในประเด็นนี้ประเทศไทยต้องทบทวนตัวเองก่อนว่ามีพลังอำนาจทางการเมืองมากพอที่จะให้สหรัฐฯ
ทำตามเราในบางเรื่องที่เราต้องการได้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ
เคยมีข้อพิพาทางการค้ากับประเทศแคนาดา โดยที่มีการตัดสินภายใต้กรอบของ
NAFTA ให้ฝ่ายสหรัฐฯ เป็นฝ่ายผิด แต่จนถึง ณ วันนี้สหรัฐฯ
ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามแต่อย่างใด
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอยู่ภายใต้การเจรจาแบบคาดหวังต่อจดหมายแนบ
(side letter) 5.ความคาดหวังในประเด็นที่ผูกพันคู่เจรจา
แต่น่าจะมีปัญหาในการบังคับใช้ เช่น ความตกลงของสหรัฐฯ
ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการค้า หรือ trade
capacity building แก่ผู้ประกอบการไทย
ที่ฝ่ายไทยจะไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมสหรัฐฯ
ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างมีคุณภาพตามที่ต้องการของไทยได้โดยง่าย
เหมือนกับการจ้างครูมาสอนนักเรียน
โดยที่หวังว่าครูคนนั้นจะสอนนักเรียนให้มีความสามารถตามหลักสูตร
แต่ไม่สามารถวัดได้ว่านักเรียนจะมีความสามารถตามที่คาดหวังภายหลังจากจบหลักสูตรหรือไม่
“รัฐบาลไทย
และคณะผู้เจรจาควรพิจารณาปรับความคาดหวังให้เกิดความสมดุล
โดยที่จะต้องไม่ละเลยสนใจจากประเด็นที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการเจรจา
เช่น โอกาสในการเข้าสู่ตลาดของสินค้าไทยในสหรัฐฯ
และที่สำคัญในการเจรจานั้นจะต้องมีความโปร่งใสตลอดจนต้องสามารถสร้างการแข่งขันโดยเฉพาะในเรื่องการโทรคมนาคมให้มีมากขึ้นเพื่อที่ผลประโยชน์จะได้ตกอยู่กับคนไทย
นอกจากนี้ ต้องมีการมุ่งมั่นในการจัดทำข้อตกลงที่ต้องมีความรัดกุม
และมีมาตรการป้องกันที่ไม่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสหรัฐฯ ผูกขาดในไทย”
นายสมเกียรติ กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลนำเรื่องการทำเอฟทีเอเข้าสู่การพิจารณของรัฐสภาก่อนนั้น
นายสมเกียรติ กล่าวว่า
การที่ให้เรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาก็เพื่อที่จะเพิ่มความชอบธรรมของกระบวนการเจรจาและมีประโยชน์ต่อประเทศไทย
เพราะรัฐสภาเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความชอบธรรมในการไกล่เกลี่ยผลประโยชน์
เนื่องจากเป็นที่รวมของผู้แทนของคนไทย อย่างน้อยก็ในหลักการ
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับคณะเจรจาเพื่อที่รัฐสภาจะได้เป็นหลังพิงของคณะเจรจาในกรณีที่จะต้องมีการแก้ไขที่อาจจะมีขึ้นจากการเจรจา
รวมทั้งยังสามารถช่วยแบ่งความรับผิดชอบทางการเมืองให้กับรัฐบาลในกรณีที่เอฟทีเอส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างที่รัฐบาลไม่เคยคาดการณ์มาก่อน
“ในที่นี้คงจะมีแต่รัฐบาลที่โง่เขลาและอหังการเท่านั้นที่พยายามละเลยบทบาทของรัฐสภา
ทั้งๆ
ที่เรื่องที่ผ่านรัฐสภาจะช่วยให้เพิ่มความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการทำงาน”
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า
ในอนาคตควรที่จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนเลยว่าการทำความตกลงระหว่างประเทศจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
และถ้าจะไม่ต้องผ่านรัฐสภานั้นมีเรื่องใดบ้างที่อนุญาตให้ทำได้
และในส่วนของความตกลงด้านการค้าระหว่างประเทศจะต้องมีการออกกฎหมายทางการค้า
หรือ trade act เพื่อกำหนดอำนาจของรัฐบาล
และรัฐสภาในการทำความตกลงทางการค้าในรายละเอียด
ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างชัดเจน
ไม่ใช่ทำเองโดยตามอำเภอใจ
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอผู้นี้
กล่าวต่อว่า
ส่วนกรณีที่มีนักการเมืองระดับสูงในรัฐบาลออกมาระบุว่าถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องผ่านรัฐสภาอยู่แล้วโดยเฉพาะถ้ามีการแก้ไขกฎหมาย
ตนเห็นว่าการเข้าใจแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมาก
เพราะถ้าหากรัฐสภาไม่ผ่านกฎหมายตามความตกลงในการเจรจา
รัฐบาลก็จะต้องรับผิดชอบต่อประเทศคู่เจรจาตามข้อตกลง
ทั้งนี้
นายสมเกียรติยังได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นที่จะต้องมีการออกกฎหมายหากมีไทยและสหรัฐฯ
ทำความตกลงเอฟทีเอเรียบร้อยว่า
ส่วนตัวคาดว่าไทยจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ
(พ.ร.บ.) มากกว่า 10 ฉบับโดยที่ยังไม่นับกฎหมายระดับรองลงมา เช่น
กฎกระทรวงอีกจำนวนมาก ดังนั้น
เพื่อให้การแปลงรูปหรืออนุวัติให้ข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นกฎหมายภายในประเทศรัฐบาลมีทางเลือก
3 ทาง คือ 1.ออก พ.ร.บ.ใหม่หรือแก้ไข
พ.ร.บ.ที่มีอยู่เดิมทีละฉบับเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่หรือขัดกับข้อตกลง
2.ออก พ.ร.บ.ฉบับเดียวขึ้นมาแก้ไข
เพื่ออนุวัติให้ความตกลงมีผลบังคับใช้โดยกำหนดเนื้อหาที่ต้องมีการแก้ไขในกฎหมายที่มีอยู่ต่าละฉบับ
หรืออาจจะคัดลอกความตกลงเอฟทีเอทั้งหมดลงใน พ.ร.บ.
3.ดำเนินการคล้ายกับวิธีที่ 2 แต่ออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แทน
พ.ร.บ. หรือออก
พ.ร.บ.ที่มีสาระสำคัญมาตราเดียวให้บังคับใช้ความตกลงสนธิสัญญาเป็นกฎหมายภายในประเทศ
“ในวิธีที่ 1
น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เพราะจะไม่มีความเสี่ยงต่อการที่ได้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ
แต่วิธีที่ 3 เป็นวิธีที่น่าห่วงที่สุด
เพราะรัฐสภาไม่สามารถที่จะแปรญัตติเพื่อเปลี่ยนแปลงเนื้อหาได้
ส่วนแนวความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ประชาชนรวบรวมรายชื่อ 5
หมื่นชื่อ เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.กระบวนการพิจารณาการเปิดการค้าเสรี
ผมมองว่าทางที่ดีพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ
ต้องเป็นเจ้าภาพในการรวบรวมรายชื่อมากกว่าที่จะให้ประชาชนเป็นเจ้าภาพ
เพราะการที่ประชาชนมาเป็นเจ้าภาพจะมีความเสี่ยงสูงมาในเรื่องการวบรวมรายชื่อเนื่องจากอาจจะมีข้อผิดพลาดได้”
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า
อยากจะให้รัฐบาลออกมาพูดความจริงกับประชาชนในเรื่องของระยะเวลาในการเจรจาว่าเป็นอย่างไร
เพราะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนมาโดยตลอดเนื่องจากในช่วงแรกของการเจรจาทางหัวคณะเจรจาของไทยระบุว่าจะไม่ให้เรื่องเวลามากำหนดว่าการเจรจาจะเสร็จสิ้นเมื่อใด
แต่กฎหมายทางการค้าของสหรัฐฯ
ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการลงนามสัญญาที่ไม่ต้องผ่านรัฐสภาแล้วค่อยมาขอการรับรองจากรัฐสภากำลังจะหมดอายุลงในปี
พ.ศ.2550 และมีการอ้างถึงเหตุผลนี้ที่ไทยควรที่จะเจรจากับสหรัฐฯ
ให้เสร็จก่อนกลางปีนี้
ซึ่งทางคณะเจรจาของไทยก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ
แต่กลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไปภายหลังจากที่นายกฯ
และรัฐมนตรีหลายท่านไปเยือนสหรัฐฯ หลายครั้ง
ประกอบรัฐมนตรีบางคนก็ออกมาระบุว่าได้ไปคุย
ส.ส. และส.ว.ของสหรัฐฯ
บอกว่าถ้าการเจรจาไม่ผ่านในช่วงเวลานี้จะมีปัญหา
ซึ่งเรื่องแบบนี้มีความเสี่ยงมากเพราะจากเดิมที่ไทยเคยมองว่าเรื่องน่าจะมีระยะเวลาในการเจรจาที่ยาวและค่อยเป็นค่อยไป
แต่เมื่อฝ่ายการเมืองส่งสัญญาณมีท่าทีเร่งรีบแบบนี้ทำให้การเตรียมตัวในบางเรื่องยังไม่มีความพร้อม
และที่สหรัฐฯ
ต้องการที่จะให้การเจรจาจบลงในเวลานี้ก็ได้มีรายงานข่าวออกมาระบุว่าในปลายปีนี้ของสหรัฐฯ
จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมของสมาชิกรัฐสภา
ประกอบความตกลงที่ผ่านของสหรัฐฯ ทำให้คะแนนนิยมลดลง
ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ
ต้องการให้จบลงอย่างรวดเร็วเพื่อหวังผลการเมือง
นอกจากนี้
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอยังเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบว่า
รัฐบาลจะต้องมีกลไกในการจัดเก็บภาษีจากผู้ส่งออกที่ได้ประโยชน์จากการทำความตกลงเอฟทีเอ
โดยนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อฝึกอาชีพหรือกระจายรายได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
เช่น แรงงานที่ตกงาน หรือเกษตรกรรายย่อยที่รับผลกระทบจากสินค้านำเข้า
ซึ่งการระบุผู้ได้รับผลประโยชน์ทำได้ไม่ยาก
เพราะสามารถรู้ได้จากการได้รับในรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า หรือ
certification of origin เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ
โดยที่แนวความคิดในการตั้งกองทุนลักษณะนี้ในสหรัฐฯ
เองก็มีกลไกที่เรียกว่า Trade Adjustment Assistance
“อย่างไรก็ตาม
ในเรื่องจะต้องมีวางกฎเกณฑ์ให้รอบคอบ
เพราะอาจจะมีผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบแต่กลับมาขอความช่วยเหลือ
ซึ่งกรณีที่รัฐบาลออกมาระบุว่าจะนำงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อมาปรับโครงสร้างของภาคการเกษตร
เห็นว่าจะต้องมีกลไกในการปรับตัวโดยใช้เงินจากการเก็บภาษีของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเอฟทีเอ
หรือรัฐบาลไม่ควรออกนโยบายที่ไปทำให้การปรับโครงสร้างเป็นไปได้ยากขึ้น
เช่น ถ้าเห็นว่าเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอ
รัฐบาลจะช่วยในการปรับโครงสร้างให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ที่อาจจะไปช่วยสนับสนุนในการผลิตในสาขาอื่น เป็นต้น
แต่ไม่ใช่ส่งสัญญาณที่เป็นในลักษณะที่จะออกนโยบายสวนทาง อาทิ
การที่โคนมของไทยกำลังได้รับผลกระทบแต่รัฐบาลก็ยังออกนโยบายโคล้านตัว
เป็นต้น
ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนและงบประมาณในการปรับโครงสร้างจะสูงขึ้นโดยที่ไม่จำเป็น”
ขณะที่ น.ส.จิราพร
กล่าวถึงผลกระทบของไทยในเรื่องการจดสิทธิบัตรยาภายหลังการทำเอฟทีเอว่า
ถ้ามองถึงประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลอ้างว่าจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง
โดยเฉพาะในเรื่องยา เนื่องจากเดิมไทยมีการคิดภาษีกับสหรัฐฯ
ประมาณร้อยละ 10
แต่เมื่อลดภาษีเราเสียประโยชน์เพราะเก็บภาษีส่วนที่เคยได้ไม่ได้แล้ว
ส่วนประโยชน์ที่เราจะได้จากการส่งออกเราก็ไม่ได้
เพราะไทยเราไม่มีบริษัทใดส่งออกยาไปขายที่สหรัฐฯ นอกจากนี้
คนไทยที่มีฐานะยากจนจะได้รับผลกระทบในการเข้าถึงยาน้อยลง
เพราะราคายาจะแพงขึ้น
อีกทั้งยาที่มีคุณภาพระดับเดียวกันจะไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วง คือ สหรัฐฯ
ต้องการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนยา ดังนั้น
ผู้แทนการเจราจาที่เกี่ยวข้องของฝ่ายจำเป็นจะต้องคำนึงอยู่เสมอว่าหากผลกระทบใดๆ
ที่จะมีต่อระบบของสาธารณสุขประเทศ
ที่เกิดจากการทำข้อตกลงครั้งนี้จนทำให้ประเทศเสียเปรียบ
จะต้องนำมาเป็นประเด็นการในการตัดสินใจด้วย
“ที่สำคัญกว่านั้น
ดิฉันได้รับข้อมูลมาว่า สมาคมผู้ผลิตและวิจัยยาของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งสมาคมแห่งนี้จะมีบทบาทและมีอิทธิพลอย่างมากในรัฐบาลของสหรัฐฯ
อย่างมาก
และถือว่าเป็นกลุ่มทุนใหญ่ในการหาเงินทุนสนับสนุนให้รัฐบาลสหรัฐฯ
ในการหาเสียงเลือกตั้ง
อีกทั้งจะมีล็อบบี้ยิสต์คอยช่วยเหลือในการดูแลผลประโยชน์ที่จะให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ
ดังนั้น รัฐบาลของสหรัฐฯ
จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนแห่งนี้
พราะหวังผลประโยชน์ที่จะตอบแทนกลับมา
ปัจจุบันคนจากองค์กรนี้ยังเข้ามาเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีเยอะมาก
รวมทั้งจะมีการแต่งตั้งคนของจากหน่วยงานนี้เข้ามาตัวแทนในคณะผู้เจรจาในการทำข้อตกลงกับหลายๆ
ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ดังนั้น
เห็นว่าในเมื่อคณะผู้เจรจาสามารถมีตัวแทนของกลุ่มทุนได้
ทำไมจึงไม่อนุญาตให้ตัวแทนของผู้บริโภค
หรือตัวแทนสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์การเจรจาในครั้งนี้ด้วย”
น.ส.จิราพร กล่าว
นางจิราพร กล่าวต่อว่า
เรื่องที่น่าเป็นห่วงและอยากจะเตือนไปยังตัวแทนผู้เจราจาฝ่ายไทยจะต้องศึกษาในรายละเอียดในข้อตกลงต่างๆ
ให้เข้าใจ
โดยเฉพาะเนื้อหาในตัวสัญญาทุกฉบับที่จะทำขึ้นมาล้วนแล้วแต่ใช้ภาษาอังกฤษแทบทั้งสิ้น
หากไม่ต้องการให้เกิดความเสียเปรียบ
และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของสหรัฐฯ
อีกทั้งเป็นที่เข้าใจให้กับทั้งสองฝ่าย
ควรทำสัญญาข้อตกลงที่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
เพราะเราถือว่าเป็นภาษาราชการของทั้งสองประเทศ
สิ่งหนึ่งที่ตนทราบมาคือ สหรัฐฯ
มีความต้องการที่เข้ามายึดประเทศในภูมิภาคนี้
โดยตั้งเป้าหมายที่เอาประเทศไทยเป็นต้นแบบ
ซึ่งหากการเจราจรทำข้อตกลงไทย-สหรัฐฯ ในครั้งนี้เสร็จสิ้น
ก็จะใช้วิธีเดียวกับประเทศนำไปใช้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันนี้
ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
ขณะที่
นายสมชายกล่าวถึงกระบวนการในการเจรจาเอฟทีเอที่ขัดกับรัฐธรรมนูญว่า
กระบวนการจัดทำข้อตกลงการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ
ตนมีความรู้สึกว่ารัฐบาลไทยมีความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะดำเนินการต่อไป
โดยไม่รับความคิดของประชาชน ซึ่งส่งให้เกิดปัญหาสำคัญใน 2 ด้านคือ
1.ด้านกระบวนการรัฐบาลได้ดำเนินการในการเจรจากับสหรัฐฯ
ด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลน
ขาดความโปร่งใสไม่ให้ข้อมูลต่อสาธารณะไม่รับความคิดเห็นของประชาชน
และที่สำคัญเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 224
ซึ่งกำหนดว่าหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจรัฐ
หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามสัญญาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กล่าวว่า โดยบทบัญญัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การตัดสินใจระดับประเทศ
ที่มีผลกระทบจำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาและตัดสินใจจากตัวแทนของประชาชนเพื่อให้เกิดข้อสรุปที่รอบด้านมากที่สุด
บทบัญญัตินี้จึงพยายามแสวงหาความรู้
มุมมองให้มากที่สุดก่อนดำเนินการใดๆ โดยการทำเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ
ดังกล่าวนี้มีหลายประเด็นหากมีการลงนามในข้อตกลงแล้ว
ต้องมีการเสนอร่างกฎหมายหรือการแก้ไขกฎหมายต่อรัฐสภา เช่น
การขยายระยะเวลาคุ้มครองสิทธิบัตร
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้แสดงเจตนาที่ชัดเจนในการจะนำข้อตกลงดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแต่อย่างใด
“ผมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญอย่างจงใจและชัดเจน
เพราะไม่เพียงแต่ปฏิเสธแต่อำนาจของรัฐสภา
อีกทั้งรัฐบาลที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการจัดทำข้อตกลงก็ไม่เคยเปิดเผยหรือให้คำชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณชน
ว่าผลกระทำที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยมีอะไรบ้าง
รวมถึงมาตรการในการลดทอนผลกระทบหรือทางเลือกอื่น
แต่รัฐบาลทำราวกับว่าจะต้องดำเนินการทำข้อตกลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเกิดผลกระทบก็ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับความหายนะจากการทำข้อตกลงด้วยตนเอง
ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วกับกลุ่มเกษตรกรปลูกหอม กระเทียม
และพืชผักผลไม้เมืองหนาว
ในภาคเหนือที่ได้เผชิญมาหลังจากที่รัฐบาลได้ทำข้อตกลงกับประเทศจีน
และออสเตรเลีย
แต่หากรัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบและคำนึงถึงชีวิตคนยากจนรัฐบาลก็สามารถที่จะใช้กระบวนการรัฐสภาและช่องทางอื่นๆ
ในการรับฟังข้อมูลและความคิดเห็น
จากผู้ที่ได้รับผลกระทบแต่ทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลนายทุนนักการเมืองเทวดาแต่อย่างใด”
นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวต่อว่า
ด้านที่ 2 คือ ด้านเนื้อหา การจัดทำข้อตกลงการค้าไทยสหรัฐฯ
ได้ก่อให้เกิดผลดีและผลเสีย
หากพิจารณาจากประสบการณ์ที่รัฐบาลไทยได้จัดทำข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่นๆ
มาก่อน เช่น ออสเตรเลีย จีน นิวซีแลนด์
ก็จะพบว่ากลุ่มที่ได้รับผลปแระยชน์จากการทำข้อตกลงจะเป็นกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่
ดังเช่นกลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มธุรกิจดาวเทียมและโทรคมนาคม
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรและกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ต่างเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและมีอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น
“ในขณะเดียวกัน
กลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงกลับกลายเป็นคนตัวเล็ก ๆ
ในสังคมที่เป็นคนยาคนจน เช่น กลุ่มเกษตรกรปลูกหอม กระเทียม
พืชผักผลไม้เมืองหนาว เกษตรกรที่เลี้ยงโคนม โคเนื้อ
เกษตรกรที่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ต่างประเทศ
ซึ่งเราจะเห็นว่าการดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าวของรัฐบาลในลักษณะนี้เหมือนกับเอาประชาชนระดับล่างของสังคมไปเซ่นสังเวยเพื่อไปแลกกับความร่ำรวยของกลุ่มนักการเมืองที่ยึดครองอำนาจอยู่
ซึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่มักมีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ
แต่สำหรับการจัดทำการจัดทำเอฟทีเอ
เราถือว่าเป็นอภิโกงกินเชิงนโยบายที่ถือว่ามีความเลวร้ายยิ่งกว่า
เนื่องจากเป็นการหาผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้องบนความหายนะของคนยากจน”
นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า
สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตในการทำข้อตกลงในครั้งนี้
แม้ว่าจะมีการเร่งรัดที่จะให้เกิดเสรีด้านต่างๆ ในการเจรจากับสหรัฐฯ
แต่สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมกับไม่ได้ถูกหยิบยกหรือนำมากล่าวถึงแต่อย่างใด
ทั้งที่สถาบันทางวิชาการหลายแห่งต่างสนับสนุนให้มีการเปิดเสรีให้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีนักการเมืองคนใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบหากมีการเปิดเสรีโทรคมนาคม
ซึ่งตรงนี้เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดที่นายกรัฐมนตรีของไทยออกมายืนยันว่าจะไม่มีการเปิดเสรีในธุรกิจด้านนี้และไม่ให้ข้อชี้แจงถึงเหตุผล
ดังนั้น การกระทำของรัฐบาลที่เป็นไปอย่างลับๆ ล่อๆ
ไม่กล้าเผชิญหน้ากับคำถามของสาธารณชนราวกับว่าตนเองกำลังกระทำผิด
โดยไม่ได้คำนึงถึงคนในสังคม ในสภาวะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า
รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลของนายทุน โดยนายทุน และเพื่อนายทุน
ด้วยการมุ่งหาประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้องเป็นหลัก
เราจึงไม่สามารถที่จะยอมรับให้รัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้ถือเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมของประชาชนได้
แม้ว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ
เกิดขึ้นก็ไม่อาจจะนับว่าข้อตกลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
“ดังนั้น
ในนามมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
จึงเรียกร้องให้ประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบร่วมกันลงนามเพื่อปฏิเสธสถานะเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมของรัฐบาลไทยในการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ
ด้วยการตั้งกลุ่มขบวนการเสรีไทย 2549
หลังจากที่ขบวนการเสรีไทยในอดีตที่เคยปฏิเสธการทำสงครามต่อฝ่ายพันธมิตรของรัฐบาลไทย
ที่นำโดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
และหากมีการลงนามเกิดขึ้นประชาชนไทยก็จะไม่ยอมรับผลข้อผูกพันใดๆ
ในการทำข้อตกลงดังกล่าว โดยสามารถเข้าร่วมลงนามขบวนการเสรีไทย 2549
ได้ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www.midnightuniv.org นอกจากนี้
ขอให้ช่วยกันตอบโต้กลุ่มนายทุนนักการเมืองที่แสวงหาประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอ
ด้วยการเลิกซื้อหรือเลิกใช้บริการกลุ่มทุนใน 4 กลุ่มดังนี้ คือ
กลุ่มทุนโทรศัพท์มือถือดาวเทียม กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร
กลุ่มทุนอุตสาหกรรมรถยนต์ กลุ่มทุนสัมปทานโทรทัศน์” นายสมชาย
กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ภายหลังจากเสวนา
ทางเครือข่ายองค์กรประชาชนต้านการเปิดเขตเสรีและแปรรูปประเทศไทยจาก 11
เครือข่าย ประกอบด้วย
1.เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทย
2.เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก 3.สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
4.เครือข่ายป่าไม้-ที่ดิน 4 ภาค 5.สหพันธ์เกษตรกรรมภาคเหนือ
6.เครือข่ายสลัมสี่ภาค 7.สภาเครือข่ายองค์กรประชาชนแห่งประเทศไทย
8.สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 9.สมัชชาคนจน
10.สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และ
11.กลุ่มนักศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
ได้ออกแถลงการณ์เพื่อแสดงถึงจุดยืนในเรื่องดังกล่าว
โดยเนื้อหาระบุว่า
การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐฯ
จะเห็นได้ว่าไม่ได้ทำให้ผู้เจรจาทั้ง 2
ฝ่ายคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนทั้งประเทศ
โดยพิจารณาได้จากเนื้อหาข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และการให้สัมภาษณ์ เช่น
การยื่นเนื้อหาในการเจรจาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นไปอย่างที่คาดหมาย
สหรัฐฯ
มีข้อเรียกร้องที่เกินเลยข้อตกลงระหว่างประเทศและกฎหมายของสหรัฐฯ
ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายสิทธิบัตรยา
ที่ต้องการขอขยายการคุ้มครองยาที่มีสิทธิบัตรจาก 20 ปีเป็น 25-30 ปี
ซึ่งทำให้ยาถูกผูกขาดได้นาน งบประมาณจะเพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาท
เป็น 20,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปีในกลุ่มยาสำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์
และทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาจะเพิ่มขึ้นจาก 33,468-216,456 ล้านบาท
ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพล้มเหลว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต
ขอให้มีการคุ้มครองสิ่งมีชีวิต พืช
ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อการนำข้าวหอมมะลิไปจดสิทธิบัตร
จะทำให้สูญเสียมูลค่าสูงถึง 3 หมื่นล้านบาท
การปลูกพืชจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์
ทำให้เมล็ดพันธุ์พืชอยู่ในมือบริษัทข้ามชาติ
เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ราคาแพง
และยังขอให้คุ้มครองวิธีการรักษาและวินิจฉัยโรค
จะกระทบกับราคาค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้
ถ้ามีการเปิดเสรีสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นกับจีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
และสหรัฐอเมริกา จะทำให้เกษตรกรไทยประมาณ 1,540,000 คน
ต้องสูญเสียอาชีพ เนื่องจากผัก ผลไม้ นม เนื้อ ข้าวโพด ถั่วเหลือง
จากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีราคาถูกกว่าประเทศไทยมาก
ส่งผลกระทบต่อระบบความมั่นคงทางอาหาร
ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาอาหารจากต่างชาติ
ส่วนการลงทุนในบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานจะกระทบกับการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานเพราะบริการสาธารณะจะถูกผลักดันให้นำไปทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์
เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ องค์การเภสัชกรรม
และไม่สามารถห้ามนักลงทุนจากสหรัฐฯ
ให้ลงทุนได้น้อยกว่านักลงทุนในประเทศเพราะเราให้สิทธิเยี่ยงชาติ เช่น
กรณีขายการไฟฟ้าในตลาดหลักทรัพย์ที่รัฐบาลอ้างว่าขายการไฟฟ้าเพียงร้อยละ
25 และขายให้นักลงทุนในต่างประเทศเพียงร้อยละ 30 และนักลงทุนในประเทศ
70% จะไม่สามารถทำได้ ดังนั้น เครือข่ายภาคประชาชนเห็นว่า
รัฐบาลยังเดินหน้าในการเจรจาอย่างเข้มข้นและเสียเปรียบกับคนส่วนใหญ่ขอเรียกร้องต่อประชาชนให้หาทางหยุดรัฐบาล
ในการทำข้อตกลงเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ ก่อนที่จะสายเกินแก้