คนเร่ร่อน... คนไร้บ้าน : นามนั้นสำคัญไฉน ...


คนเร่ร่อนไร้บ้านบางคนที่อิสรชนพบเจอ เป็นคนที่มีฐานะทางครอบครัวค่อนข้างมั่นคงบางรายอยู่ในขั้นเศรษฐีเลยทีเดียว แต่พอถามว่าทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านทั้งที่บ้านช่องครอบครัวก็ดูจะอบอุ่นดีมีความสุข เขาก็ตอบกลับมาว่า ไม่อยากกลับ อยู่แบบนี้ อิสระดี ไม่มีใครบังคับ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย

คนเร่ร่อน... คนไร้บ้าน : นามนั้นสำคัญไฉน ... 

ไม่ว่าใครจะนิยามความหมายของคนที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่สาธารณะของเมืองใหญ่ว่าอย่างไร ไม่ว่าเรียกว่า ผีกระดาษ ผีขนุน คนจรจัด คนเร่ร่อน หรือล่าสุดเรียกว่า คนไร้บ้าน ก็ไม่ได้เพิ่มหรือลดคุณค่าที่มีในตัวตนของคนเหล่านี้สักเท่าไร 

จากการที่สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน(องค์กรสาธารณประโยชน์) คลุกคลีทำงานกับคนเร่ร่อนไร้บ้านในที่สาธารณะของกรุงเทพมหานครมามากมายหลายพื้นที่ และท้ายที่สุด ก็มาสรุปฝังตัวอยู่ที่ สนามหลวงและคลอหลอด พื้นที่กลางใจเมืองที่ใครต่อใครพากันถอนใจถอนกำลังออกจากพื้นที่กันหมด ด้วยเพราะ บอกว่าเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้ 

ที่อิสรชนยังคงอยู่กับพื้นที่สนามหลวงและคลองหลอดก็เพราะเห็นประกายแห่งความสุขของคนธรรมดาที่เดินดินกินข้าววัด หารายได้จากการเก็บของขาย รับจ้าง และมีชีวิตในมุมมองที่เขาบอกว่า คือความพอเพียงของพวกเขาเอง 

อิสรชนเคยเพียรถามถึงการคืนกลับสู่ภูมิลำเนาของคนในพื้นที่ คำตอบเดิม ๆ ราวกับมีใครมาฝังความคิดไว้ ก็คือ กลับไม่ได้ กลับไปต้องโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม มากทม.ทั้งที กลับไปต้องกลับไปอย่างมีหน้ามีตา ต้องไม่กลับไปแล้วเป็นภาระให้คนที่อยู่ที่บ้าน ?? ถามใครก็ตอบแบบนั้น จนมาได้อ่านหนังสือ โลกของคนไร้บ้าน จึง พอจะเห็นเค้าลางอะไรบางอย่างที่สะท้อนผ่านตัวหนังสือเล่มนั้น ?? 

คนเร่ร่อนไร้บ้านบางคนที่อิสรชนพบเจอ เป็นคนที่มีฐานะทางครอบครัวค่อนข้างมั่นคงบางรายอยู่ในขั้นเศรษฐีเลยทีเดียว แต่พอถามว่าทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านทั้งที่บ้านช่องครอบครัวก็ดูจะอบอุ่นดีมีความสุข  เขาก็ตอบกลับมาว่า ไม่อยากกลับ อยู่แบบนี้ อิสระดี ไม่มีใครบังคับ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย 

มาถึงวันนี้ เขาเล่าให้เราฟังว่า มีคนลงมาคุยกับพวกเขาหลายกลุ่ม หลายคน บางคนมาแล้วก็สัญญาว่าจะมาหาบ่อย ๆ แล้วก็หายหน้าหายตา หายหัวไปเลย บางคนก็มาคุยมานอน มาทำงานอะไรไม่รู้วุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่ามองพวกเขาเป็นอะไร จะเรียกเขาว่าอะไร ก็ตามใจ แต่เขาก็คือคนไทยคนหนึ่งที่รักชาติบ้านเมืองไม่ต่างไปจากคนอื่น ๆ ฟังแล้ว ก็อึ้ง ทำให้มองเลยไปถึงนักวิชาการที่ ทำงานวิจัย แล้ว แอบไปนินทาคนด้อยโอกาสในวงวิชาการ โดยที่เขาไม่มีโอกาสจะแก้ต่างหรือบอกเล่าตัวตนของเขาเองให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้รับฟังความจริงจากปาก แต่ในขณะที่นักวิชาการกลุ่มเดียวกัน ก็เที่ยวว่าคนอื่นว่า ทำงานวิจัยแบบแอบนินทาเด็กเช่นกัน ... 

น่าจะถึงเวลาที่สังคมไทยยอมรับความจริงและเปิดพื้นที่ให้คนด้อยโอกาสในสังคมไทย ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขโดยเท่าเทียมกันทุกกลุ่มชนเสียที 

หมายเลขบันทึก: 128570เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2007 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 10:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท