รู้ไหมว่าวันเด็กแห่งชาติมความเป็นมาอย่างไร .. เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ
เพื่อน ๆ หลาย ๆคนยังไม่ทราบนะครับว่า
ความเป็นมาของวันเด็กนั้นมีความเป็นมาอย่างไร และเพื่อน ๆ
คงสงสัยว่าวันเด็กแห่งชาติที่จัดขึ้นในคร้งแรกนั้นจัดขึ้นในสมัยใดและเพราะเหตุใดจึงต้องมีวันเด็กแห่งชาติขึ้น
ด้วยคำที่ว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า
เด็กทุกคนจึงมีบทบาทและหน้าที่ในการเป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันพัฒนาแระเทศชาติบ้านเมือง
ในอนาคต เด็กจึงมีบทบาทหน้าที่ในการตั้งใจในการศึกษาหาความรู้
รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ มีระเบียบวินัย รู้จักการเสียสละ
และรู้จักสิทธิหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม
รู้จักการรักษาความสะอาดและรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติหากเด็กปฏิบัติได้ตามที่กล้าวมานั้น
จะเชื่อได้ว่าเป็นเด็กดีและประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองได้
เดิมงานวันเด้กแห่งชาติจัดขึ้นในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม
ในช่วงพศ.2498 - 2506 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน
มกราคม ในปีพศ.2508
เพราะเป็นช่วงหมดฤดูฝนและยังเป็นวันหยุดราชการอีกด้วย
จึงถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้
เพื่อ ๆคงสงสัยกับความหมายของคำว่าว่าเด็กใช่ไหมครับ
ความหมายของคำว่าเด็ก / เด็กชาย / เด้กหญิง
ตามพจนานุกรมฉบัยราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า
เด็ก คือ คนที่มีอายุยังน้อย ยังเล็ก / เด็กชาย คือ
คำนำหน้าเรียกเด็กผู้ชายที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบรบูรณ์ / เด็กหญิง คือ
คำนำเรียกเด็กผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์
ความเป็นมาของวันเด็กแห่งชาติ
การจัดงานวันเด็กในประเทศไทย
ปีพุทธศักราช
2498
อันเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติกันขึ้นตามความเห็นคล้อยตามกับองค์การสหประชาชาติที่นำปัญหาเรื่องเด็กมาร่างเป็นปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของเด็กขึ้นมา
ประเทศไทยได้รับข้อเสนอของนาย
วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ
ผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า
ประเทศไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น
ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่
ขณะนั้นสภาวัฒนธรรมแห่งชาติยังมิได้ถูกยุบเลิกไปแล้ว
คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติจึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา
ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบ นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม พ.ศ.2498
ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น
โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ
ส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานั้น
ได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ
ดังนั้นในวันที่
3 ตุลาคม พ.ศ.2498
ประเทศไทยจึงมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
จากนั้นเป็นต้นมาทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติสำหรับประเทศไทย
และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ.2506
ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้นมีความเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่เพื่อความเหมาะสมด้วยเหตุผลว่า
ในเดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทยเราเป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก
เด็ก ๆ ไม่สะดวกในการมาร่วมงาน ประการต่อไปก็คือ
วันจันทร์เป็นวันปฎิบัติงานของผู้ปกครองจึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้
ตลอดจนการจราจรก็ติดขัด
จึงเห็นว่าควรจะเปลี่ยนไปเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมเสียทุกสิ่งทุกอย่างได้สะดวกสบายขึ้น
และมีความเหมาะสมมากกว่า
จากข้อเสนอดังกล่าว
คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมา
ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507
จึงประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม
มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปี พ.ศ.2507
ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว
งานวันเด็กแห่งชาติได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี
พ.ศ.2508 และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาได้ 38 ปีแล้ว
(งดจัดในปี พ.ศ.2507 หนึ่งปี)
|
วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
- เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก
สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก
และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ
- เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
- เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตน
และอยู่ในระเบียบวินัยอันดี
- เพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก
ความเป็นมาของคำขวัญวันเด็ก
ในปี
พ.ศ. ๒๕๐๒ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้เห็นคุณค่าความสำคัญ ของเด็ก
จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคิด สำหรับเด็ก นายกรัฐมนตรี
ในสมัยต่อๆมา จึงได้ถือปฎิบัติสืบต่อมา
|
และในปีพศ.2549 พณฯ พันตำรวจโทด๊อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันเด็กไว้ว่า อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน
ขยันคิด
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับ . . . ณรงค์ชัย คงยา