เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น (2) : มุ่งสู่ฟูจิยามา


Fujiyama หนึ่งในภูเขาที่สวยงามที่สุดในโลก

                    สวัสดีครับ  เรื่องเล่าแสนประทับใจจากญี่ปุ่นตอนนี้จะเป็นเริ่มต้นก่อนการเดินทางสักเล็กน้อยเพื่อเป็นความรู้ครับ จากนั้นค่อยท่องญี่ปุ่นกันครับ

                     การเดินทางไปญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก    เพราะต้องเตรียมการมาก    ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อมหาวิทยาลัยและรอหนังสือตอบรับ    การทำหนังสือเดินทาง และการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น   ซึ่งมีระเบียบเคร่งครัด เราต้องเตรียมเอกสารทะเบียนบ้าน   บัตรประจำตัว    หนังสือเดินทาง    บัญชีธนาคารที่มียอดเงินเพียงพอต่อการเดินทาง     ทั้งเอกสารฉบับจริงและสำเนา รวมถึงรูปถ่ายปัจจุบันขนาด 2 นิ้ว   ที่ต้องใหญ่เห็นได้ชัดเจน (ใหญ่จริงๆ ครับ ยืนยัน)     เมื่อยื่นเอกสารแล้วก็ต้องมีการซักถาม  ดูหน้าตาเจ้าของเอกสารด้วยว่า  เป็นกะเหรี่ยงที่ไหน   หน้าตาเชื่อถือ  หรือเปล่า  โดยเฉพาะสุภาพสตรี    เขากลัวไปแล้วไม่กลับประเทศครับ    กว่าจะอนุมัติก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 วันถึง 1 สัปดาห์  การยื่นของวีซ่าครั้งนี้  ยื่นขอได้ที่กงสุลญี่ปุ่น(สำหรับของผมขอที่กงสุลญี่ปุ่นประจำจังหวัดเชียงใหม่      ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอาคารใกล้กับวิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น  ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ตพลาซ่า

                         เมื่อได้รับอนุมัติวีซ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ต้องเตรียมตัวศึกษาสภาพดินฟ้าอากาศในช่วงเวลาการเดินทาง   ซึ่งคณะศึกษาดูงานจะเดินทาง 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 17- 25 มีนาคม    แต่จะอยู่ในประเทศญี่ปุ่น 7 วัน    ซึ่งช่วงนี้อากาศที่ญี่ปุ่นหนาวมาก   เราต้องเตรียมเสื้อผ้าให้สอดคล้องกับสภาพอากาศด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อเสื้อกันหนาวราคาแพงมากที่ญี่ปุ่น    นอกจากนี้ต้องเตรียมยาประจำตัว   ของใช้ที่จำเป็นในการเดินทางต่างประเทศให้เรียบร้อย เพราะไม่สามารถหาซื้อได้สะดวกที่ญี่ปุ่น

มุ่งสู่  Fujiyama  ภูเขาที่เปรียบดั่งจิตวิญญานของชาวญี่ปุ่น  

      (หนึ่งในภูเขาที่สวยงามที่สุดในโลก เกินคำบรรยาย)

                     

            เราออกจากมหาวิทยาลัยสึกูบะ เที่ยงเศษ เพื่อเข้าไปในตัวเมือง หาอะไรรับประทานก่อนเดินทางไกล    ร้านอาหารที่เราจะไปกินอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น  อยู่ในบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง    ร้านอาหารมี ชื่อว่า Okura  บรรยากาศของร้านคล้ายๆ กับร้านอาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปในเมืองไทย       อาหารเสริฟแบบเซ็ท ประกอบด้วย  ปลาแซลมอน  น้ำซุป  สลัดและข้าว   ส่วนเครื่องดื่มจำพวกชา  กาแฟ   บริการด้วยตัวเอง   ตบท้ายด้วยขนมหวาน   รสชาติอาหารค่อนข้างอร่อย โดยเฉพาะปลาแซลมอน      เมื่ออิ่มอร่อยดีแล้วทุกคน ก็รีบออกเดินทางจากเมืองสึกูบะ มุ่งหน้าไปยังจังหวัดยามานาชิ   ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบ Kawagushi และภูเขาไฟ  Fuji   

     

                         การเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง   ซึ่งทำให้เรามีเวลาสำรวจสภาพบ้านเมืองตามเส้นทางที่ผ่าน   นับตั้งแต่เมืองสึกูบะ ที่สงบเงียบ  เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านผู้คนก็ใช้รถใช้ถนน อย่างไม่เร่งรีบอะไร     แต่ที่น่าสังเกตคือไม่รู้ว่าผู้คนเขาหายไปไหนกันหมด     ถนนหนทางดูโล่งโปร่งตาเหลือเกิน   อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นก็เป็นได้    หลายคนถึงกับอยากย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ เพราะสภาพบ้านเมืองแสนที่จะถูกใจจริงๆ

                       รถบัสของเราใช้ทางด่วนเพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง   โดยผ่านเมืองสำคัญๆ เช่น Saitama และ Tokyo    ทำให้เราพบเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย   โดยเฉพาะความสะอาดสะอ้านของบ้านเมือง   และถนนหนทาง   ความมีระเบียบวินัยของคนขับรถที่นี่   ความเร็วถูกจำกัดไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชม.    แต่ถ้าเข้าไปในตัวเมือง ก็จะไม่เกิน30-50 กิโลเมตร/ชม.   สภาพถนนที่ญี่ปุ่นดีมาก ไม่มีหลุมบ่อ  ท่อน้ำเปิด หรือขรุขระให้เห็นเลย     สภาพผิวถนนเรียบจนแทบไม่รู้สึกกระเทือน    เส้นสัญลักษณ์การเดินรถ ต่างๆ  บนผิวถนนก็ชัดเจน   ไม่เลอะเลือนซ้ำซ้อนจนเดินรถแทบไม่ถูกอย่างบ้านเรา     การจราจรก็ดูคล่องตัวดี เพราะมีทางต่างระดับ และทางอุโมงค์ลอด   สั้นบ้างยาวบ้าง   บางแห่งยาวนับเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว  นอกจากนี้รถราที่วิ่งไปมาสังเกตว่าสภาพแต่ละคันดูใหม่มาก  ควันดำก็ไม่มีปรากฏให้เห็น   ไม่ทราบว่าเขามีกฏหมายกำหนดอายุการใช้งานไว้หรือไม่  หรือเป็นเพราะค่านิยมของชาวญี่ปุ่นที่ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม 

                        สำหรับรถบรรทุกที่ญี่ปุ่นถ้าเป็นรถขนาดใหญ่    มักเป็นรถบรรทุกคอนเทนเนอร์   ถ้าเป็นรถกระบะใหญ่และบรรทุกสิ่งของก็จะมีผ้าคลุมมิดชิด และเขาไม่บรรทุกให้สูงเกินความสูงของกระบะ    ผิดกับบ้านเราราวกับฟ้าดิน  โดยเฉพาะรถบรรทุกหินดินทราย บ้านเราน่ารังเกียจมากที่สุด    ก็ไม่เห็นจะมีตำรวจจราจรเข้าไปจัดการแต่ประการใด   เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องการจราจรที่ญี่ปุ่นมาก่อน    เลยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นเพราะอะไร เขาจึงมีระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนได้ดีถึงขนาดนี้   หลายคนออกปากชมคนขับรถที่นี่ว่ามีวินัยมาก ไม่ขับแซงกัน    ขับรถก็ทิ้งระยะห่างระหว่างคันมาก   ไม่จี้ก้นแบบบ้านเรา    และที่สำคัญเขาใช้ความเร็วตามที่ป้ายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งๆ ที่เราไม่เห็นตำรวจจราจรที่ญี่ปุ่นเลยสักคนเดียวตลอดการเดินทาง     ไกด์ราณีบอกว่า   ที่นี่ไม่นิยมใช้มอเตอร์ไซค์ สังเกตได้เลยว่าเราเห็นน้อยมาก  นับคันได้ ส่วนบ้านเรามีมากเหลือเกินและเป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บล้มตามสูงกว่ารถชนิดใดๆ    ยิ่งเชียงใหม่อัตราการเสียชีวิตเพราะรถมอเตอร์ไซค์สูงจนน่าเป็นห่วง    เทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ก็คงตายกันเป็นเบืออีก    นี่แหละคือคุณภาพของคนญี่ปุ่นที่ทิ้งห่างคนไทยไปไกลมากแล้ว

 

ทะเลสาบหน้าโรงแรมฟูจิอัน สงบและสวยงาม

                       เมื่อรถเข้าเขตเมืองยามานาชิ   ก็เห็นยอดภูเขาไฟฟูจิแต่ไกลสวยงามมาก    พวกเราในรถต่างลุกขึ้นดูและอุทานว่าสวยงามเหลือเกินไม่ขาดปาก   จนไกด์ราณีต้องเตือนว่าอย่าลุกเดินไปมาในรถ    เพราะที่นี่เขาห้าม และที่สำคัญจะเกิดอันตรายด้วย    เราก็ได้แต่ลุกขึ้นถ่ายรูปผ่านกระจกรถด้านข้าง    เสียงกดชัตเตอร์ดังเป็นระยะ และแสงแฟลชวูบวาบเต็มไปหมด     เพราะภาพที่เห็นสวยงามจนอดใจไม่ไหว    นี่ขนาดเห็นแต่ไกลยังไม่ถึงทะเลสาบคาวากูชิยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าไปเห็นภาพภูเขาไฟฟูจิริมทะเลสาบจะงดงามสักปานใด

                     รถมาถึงทะเลสาบคาวากูชิก็ค่ำแล้ว   แต่ภาพที่เราเห็นก็ยังงดงามจน

อยากลงจากรถไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ และถ่ายรูปตอนนี้เลย แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเราต้องรีบขนของขึ้นห้องพัก และลงมารับประทานอาหาร     ดังนั้นเมื่อรถจอดเทียบหน้าโรงแรม Mifu Jien    เราก็รีบขนของขึ้นที่พักทันที  ที่ต้องรีบก็เพราะอากาศตอนนี้หนาวจับใจ    ขืนรีรอชักช้าคงจะหนาวตายเสียก่อน   เสื้อผ้าที่ใส่มาว่าหนาพอแล้วแต่กลับไม่พอ    เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ยังคงนอนอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ที่ขนขึ้นรถตั้งแต่ออกจากสนามบินเมื่อเช้า

                    หลังจากทราบว่าได้ห้องพักที่เท่าไหร่แล้ว     ทุกคนก็แยกย้ายกันไปห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า   ไกด์ราณีได้นัดหมายให้พวกเราใส่ชุดยูกาตะ หรือเสื้อคลุมยาวแบบญี่ปุ่นลงมาทานข้าวพร้อมกันที่ห้องอาหารใหญ่ของโรงแรมเพื่อสร้างบรรยากาศในค่ำคืนนี้หน่อย     พวกเราก็ว่านอนสอนง่ายดี  สวมชุดยูกาตะแปลงโฉมเป็นกระเหรี่ยงญี่ปุ่นทันที     ก็หน้าตาแต่ละคนไม่ได้ละม้ายคล้ายชาวญี่ปุ่นซักคน     พอถึงห้องอาหาร พนักงานก็เสริฟอาหารแบบเซ็ทชุดใหญ่ ซึ่งรสชาติก็อร่อยดี ทุกคนดูแช่มชื่น   สนุกสนานกับการรับประทานอาหารแบบญี่ปุ่น    คือนั่งกับเสื่อโดยมีโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับวางอาหารของแต่ละคนโดยเฉพาะ     เราเห็นหน้าตาอาหารแปลก   น่ารักดี จึงถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก และตั้งใจว่าจะถ่ายทุกมื้อที่กินแบบเซ็ทเช่นนี้

                          หลังจากรับประทานอาหารค่ำอิ่มดีแล้ว    หลายคนก็ชักชวนกันไปอาบน้ำแบบญี่ปุ่น หรือ อองเซ็น   คือต้องนุ่งลมห่มฟ้าในห้องอาบน้ำรวม  และที่พิเศษมากก็คือ   น้ำที่เราแช่นั้นเป็นน้ำแร่จากภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งอุ่นพอที่จะขับเลือดลมให้วิ่งปรู๊ดปร๊าดได้   หลายคนก็ยังเหนียมอายไม่กล้าอาบน้ำเปลือยกายในห้องร่วมกับคนอื่น  สำหรับผู้เขียนนั้นไม่อายหรอก   แต่รู้สึกหนาวสะท้านกลัวว่าหลังอาบน้ำกลับขึ้นมากระทบกับความเย็นอีกจะทำให้เป็นไข้ไม่สบายได้ จึงขอกลับไปอาบในห้องพักซึ่งเขาปรับอุณหภูมิไว้อบอุ่นดีแล้ว

                          ห้องแช่น้ำแร่ที่โรงแรมมิฟูจิอัน  แสนจะวิเศษมาก   เพราะมีทั้งห้องแช่ที่ปิดมิดชิดและห้องแช่แบบเปิด   สามารถมองเห็นยอดภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน    ทำให้บางคนไปใช้บริการและถึงกลับมาคุยฟุ้งว่า    เป็นการอาบน้ำที่แสนจะโรแมนติก    เพราะแช่น้ำแร่น้ำอุ่นสบายตัวแล้วยังได้เห็นยอดฟูจิไปพร้อมๆ กันด้วย    นี่คือความสุขสุดยอดเหนือคำบรรยายจริงๆ    ไกด์ราณีให้ความรู้เกี่ยวกับการอาบน้ำแบบนี้ว่า     ปกติผู้ที่จะอาบน้ำจะสวมชุดยูกาตะไปที่ห้องแช่น้ำแร่ โดยไม่สวมใส่ชุดชั้นใน    มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้สำหรับขัดไคลเท่านั้น     เมื่อจะเข้าห้องแช่ต้องดูที่ผ้าม่านหน้าห้องสักนิด ถ้าเป็นห้องแช่ชาย มักแขวนผ้าม่านสีเขียว  สีน้ำเงิน   ไว้เป็นสัญลักษณ์     แต่ถ้าเป็นห้องแช่หญิงก็จะแขวนผ้าม่านเป็นสีชมพูหรือสีแดง  อย่าเข้าห้องผิดล่ะ เดี๋ยวได้แตกตื่นโดนอะไรต่อมิอะไรขว้างปาใส่ไม่รู้ด้วย

                    ความวิเศษของโรงแรม Mifu Jien  อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ   ห้องพักที่จัดตกแต่งแบบญี่ปุ่นแท้ๆ  คือในห้องไม่มีเตียง  แต่ปูพื้นด้วยเสื่อ   ห้องก็กว้างขวางสะดวกสบาย ห้องน้ำสะอาด   ที่วิเศษมากก็คือโถนั่งอุ่นสบายเพราะเป็นโถส้วมที่ปรับอุณหภูมิได้     คืนนี้จึงเป็นคืนพักผ่อนที่แสนวิเศษคืนแรกในญี่ปุ่น

(ยังมีต่อ)

   

 

 
หมายเลขบันทึก: 124700เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2007 17:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ

  เหมือนได้ไปญี่ปุ่นอีกรอบหนึ่งเลย แค่เรื่องส้วมก็มีเรื่องเล่าไม่รู้จบนะคะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

      เรื่องส้วมจะมีในตอนต่อไปครับ น่าทึ่งและหวาดเสียวเป็นที่สุด เพราะส้วมไฮเทคนี่ล่ะครับ

  • แวะมาอ่านต่อแล้วคะ...
  • ชอบส้วมที่ญี่ปุ่นเหมือนกันคะ

คุณ naree ครับ

         ขอบคุณครับ  ตามอ่านอย่างนี้มีกำลังใจมากเลยครับ  เรื่องส้วมจะได้เล่าเกร็ดกะเหรี่ยงเข้าส้วมให้ฟังต่อไปครับ

สวัสดีค่ะพี่กรเพชร

ดีใจจังวันนี้เน็ตเร็วเป็นช่วงๆ ช้าเป็นทีๆ  แต่ยังไม่หลุด  เลยมีวาสนาได้เข้ามาชมภูเขาไฟฟูจิยามา  สวยจังเลยค่ะ 

ธรรมชาติทำให้ใจคนอ่อนโยนขึ้น ละเอียดขึ้น ปราณีตขึ้น  ธาตุทั้งสี่ที่ประกอบกันขึ้นเป็นรูปและนามอันหลากหลาย   ทำให้มองเห็น(ในแง่โลก)ได้ว่า "ความหลากหลายคือความงาม" 

สมัยนู้น..น. คนที่ก่อสงครามเขาคิดได้ยังไงก็ไม่รู้  ที่จะทำให้เหลือเผ่าที่เขาคิดว่างามอยู่เผ่าเดียว ... เอ่อ..  หยุดบ่นแล้วก็ได้ค่ะ  ....ตานี้แอมแปร์จะไปชมทะเลสาบต่อ  คือติดนิสัยดูไปบ่นไปอะค่ะ.....  : )

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท