ตื่นเช้าของทุกวันดิฉันสนใจและจดจ้องกับโทรทัศน์ในการติดตามข่าวสาร......เพราะทุกวันนี้ข่าวสารถือเป็นสิ่งที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต...ทั้งน้ำมันปรับขึ้นราคา เครื่องใช้อุปโภคบริโภคก็เตรียมขึ้นราคา ค่าเดินทางทุกวันนี้ก็แพงขึ้น และทุกคนคงตั้งคำถามเดียวกับดิฉันว่าทำไมเมื่อค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นแต่รายได้ไม่ได้ปรับตามไปด้วย?
เช่นเดียวกับปัญหาของประเทศ ปัญหาการถ่ายทอดความรู้คือ Knowledge transfer และ Knowledge sharing ย่อมเกิดขึ้นกับทุกที่ ทุกเวลา และยิ่งเป็นในองค์กรแห่งการทำงานยิ่งเพิ่มปัญหาสูงขึ้นอย่างเด่นชัด หลายคนคงเคยคิดว่าทำไมเพื่อนในที่ทำงานร่วมกันเมื่อเราถามอะไรออกไปคำตอบคือ..ไม่รู้เช่นกัน เพราะเขาทำเดา ๆ ไป...ส่งผลต่อการจบประโยคการสนทนาหรือตั้งคำถาม นี่เป็นตัวอย่างที่ทุกคนคงเคยประสบมา หากกล่าวไปปัญหาหรือปัจจัยต่อต้าน คือ
1.กั๊กความรู้ หรือการเห็นแก่ตัว..คงเป็นคำที่พูดและทุกคนคงเข้าใจได้ง่าย คือเมื่อบุคลากรในองค์กรคิดว่าตนเองรู้มาก มีเทคนิคในการทำงานที่รวดเร็ว ส่งผลต่องานของตนที่ดี และเจ้านายก็พอใจในงานแล้วทำไมต้องมาเสียเวลาในการ share ความรู้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้งานของตนเสร็จล่าช้าหากมานั่ง share & tranfer และมีความกลัวว่าเมื่อเพื่อนร่วมงานรู้แล้วจะทำให้เก่งกว่าตนก็เป็นได้ นี่คือความคิดที่ผิดพลาดมากสำหรับองค์กรที่มีบุคลากรเล็งเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เล็งเห็นถึงประโยชน์ขององค์กรในภาพรวม
แนวทางแก้ไข หากองค์กรเล็งเห็นถึงความสำคัญของ Knowledge transfer และ Knowledge sharing ควรจะมีการปูพื้นฐานในการทำงานให้กับบุคลากรในองค์กร อาทิเช่น การให้จับกลุ่มและทำงานเป็นทีม โดยมีการกำหนดจุดมุ่งหมาย Goal สำหรับการทำงานครั้งนั้นไป นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันต่อไปในอนาคตได้ เพราะเมื่อมีการทำงานเป็นทีม ทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง sharing & transfer เพื่อความสำเร็จของกลุ่มหรือทีมนั่นเอง เมื่อบุคลากรในองค์กรเริ่มรู้และเข้าใจต่อไปอาจมีการจัดนิทรรศการในการทำ Knowledge transfer และ Knowledge sharing เพื่อที่จะเน้นย้ำความสำคัญและให้ทุกคนได้มีโอกาส sharing & transfer ในโอกาสพิเศษนี้ด้วย ซึ่งเมื่อมีการเน้นย้ำจนสามารถปลูกจิตสำนึกแก่บุคลากรในองค์กรได้แนว ควรมีการกำหนดเป็นนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพราะบางครั้งหากบุคลากรในระดับล่างยอมรับจะปฏิบัติตาม แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าของตนอาจจะทำให้บุคลากรเกิดความเบื่อหน่าย หากมีการกำหนดเป็นนโยบายจะส่งผลต่อการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันทั้งองค์กรโดยไม่มีผู้ต่อต้าน..........
2. ความกลัว บ่อยครั้งที่ Knowledge transfer และ Knowledge sharing ไม่ประสบความสำเร็จนักเพราะผู้ถ่ายทอดเกิดความกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก สาเหตุที่เกิดความกลัวขึ้น เช่น
**กลัวว่าตนเองไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสามารถถ่ายทอดได้**
**กลัวจะโดนตำหนิเพราะความรู้ที่ถ่ายทอดขัดแย้งกับคนหมู่มากหรือองค์กร**
**กลัวต้องรับผิดชอบในเรื่องที่ทำการถ่ายทอด ซึ่งถือเป็นการเพิ่มภาระให้กับตนเอง**
**กลัวที่จะพูด เพราะถ่ายทอดหรือพูดไม่เก่ง**
**กลัวว่าพูดไปจะเสียหน้าเพราะรู้ไม่จริง**
สาเหตุข้างต้นเป็นเพียงบางตัวอย่างจากความกลัว ส่งผลให้ Knowledge ไม่ได้รับการ sharing & transfer ปัจจุบันหลายองค์กรคงประสบปัญหาเช่นกัน จากองค์กรที่ดิฉันเคยทำงานมา การ sharing ไม่ประสบความสำเร็จเพราะต่างคนต่างบอกว่าตนไม่รู้ ไม่เก่ง ไม่สามารถบอกความรุ้ของตนกับคนอื่นได้ ทั้งนี้เพราะหากเขาตอบว่าทำได้ทำให้งานเพิ่มสูงขึ้นและถูกเพื่อน ๆ ตำหนิภายหลังว่าไม่เก่งจริง!!!!แล้วยังอาสามาถ่ายทอดอีก ส่งผลให้ภายหลังไม่มีใครอาสาและเห็นความสำคัญ
แนวทางแก้ไข สิ่งที่ดิฉันต้องการเสนอคือ การเปิดใจ เปิดโอกาส และยอมรับความคิดเห็น เป็นคำที่ง่ายแต่ทำได้ยากที่เดียว ซึ่งก่อนที่จะทำให้บุคลากรเล็งเห็นความสำคัญ ก็ควรเริ่มที่ผุ้บริหารเป็นผู้เริ่มทำก่อน โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรแสดงความคิดเห็น ซึ่งระยะแรกอาจจะเป็นการเขียนเป็นกล่องข้อความ แล้วนำแนวคิดหรือข้อเสนอที่ดีมาปฏิบัติหรือปรับปรุง ซึ่งเป็นการทำให้เห็นว่าองค์กรเปิดโอกาสจริง ..... นอกจากนี้อาจจะทำวิธีเดียวกับข้อ 1 คือการให้ทำงานเป็นทีม ก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นกัน
3. การถูกจำกัดKnowledge ข้อนี้สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เข้าเรียน แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากองค์กรของเพื่อน ๆ หลายคนในห้องที่องค์กรเปิดโอกาส Knowledge transfer และ Knowledge sharing แต่ความล้มเหลวเกิดจากการที่ผู้บริหารจำกัดKnowledge โดยนำแนวคิดของตนมาใช้มากกว่า หากมองในแง่ลบแสดงว่าผู้บริหารไม่ดี เพราะไม่ยอมรับการถ่ายทอดส่งผลให้ความพยายามของบุคลากรเกิดความล้มเหลว ซึ่งทำให้ต่อไปไม่มีผู้ใดอยากจะเสนอความรู้อีก แต่หากมองในแง่บวก ทุกคนคงคิดว่ามีแง่บวกอีกหรือในเมื่อKnowledge ถูกปฏิเสธแล้วแต่บางครั้งการที่ผู้บริหารไม่ปฏิบัติตามเพราะเงื่อนไขของธุรกิจที่บุคลากรอาจจะไม่เข้าใจถึงข้อกำจัดในแต่ละจุด หากผู้บริหารทำเช่นนั้นไปอาจจะส่งผลกระทบต่อองค์กรได้
แนวทางแก้ไข ผู้บริหารควรจะกล่าวถึง Knowledge นั้นว่าทำไมถึงไม่ปฏิบัติตามโดยอาจจะนำหัวข้อนั้นไปเพิ่มเติมหรือต่อยอดความรู้เพื่อสร้างกำลังใจแก่บุคลากร หรือ การเก็บรวบรวม Knowledge ทั้งหมดแล้วนำมาทำฉันทามติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีเช่นกัน (สำหรับแนวคิดนี้มีบริษัทของเพื่อนร่วมห้องได้นำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดี)
ปัญหาไม่ใช่มีเพียงแค่ด้านไม่ดี แต่ยังมีด้านดี เพราะหากสามารถนำปัญหามาแก้ไข จนประสบความสำเร็จ และสามารถนำมาปรับใช้กับองค์กร ผลที่ได้คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ขององค์กรนั้น ๆ ดังนั้นหากเกิดปัญหาขอให้ทุกคนอย่ากลัว จงหาแนวทางแก้ไข แล้วคุณก็คือผู้ชนะ!!!!!