เมื่อกำหนดว่า อุปสงค์ (Demand) = [ความจำเป็น (Need) - ความจำเป็นที่ไม่รับรู้ (unfelt need)] X ความยินดี และความสามารถในการจ่าย (willingness & ability to pay)
จงบอกหลักการสำคัญที่จะทำให้ความจำเป็นด้านสุขภาพทั้งหมดเปลี่ยนเป็นอุปสงค์ ว่ามีอะไรบ้าง และจะนำมาใช้ในการจัดบริการสาธารณสุขอย่างไร
หลังเรียน (วันจันทร์ที่ 16 ม.ค.2549) แล้วให้ตอบไว้ที่ข้อคิดเห็นต่อท้ายบันทึกนี้ภายในวันที่ 19 มกราคม 2549 นะครับ
ความภาคภูมิใจที่สุดในการทำงานสาธารณสุข
ข้าพเจ้าปฏิบัติงานวันแรกที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งยางแดง
จังหวัดปัตตานี
มีความตื่นเต้นพอสมควรกับการทำงานที่ข้าพเจ้าจะได้พบ
กับสิ่งอะไรที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน
ว่าการทำงานสาธารณสุขเข้าทำงานกันอย่างไรรูปแบบและจะต้องทำตัวอย่างไรกับการทำงานครั้งแรกของ
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ข้าพเจ้าปฏิบัติปฏิบัติที่สำนักฯ
มันเป็นภาคใหญ่ทั้งอำเภอและงานที่ต้องทำเป็นงานด้านวิชาการมากกว่างานปฏิบัติทางด้านสุขภาพ
ตามความรู้สึกที่คิดว่างานสาธารณสุขต้องเป็นงานที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนมากกว่างานที่เกี่ยวกับวิชาการ
ซึ่งต่างกับความคิดของข้าพเจ้าที่
คิดไว้ ดังนั้น
ข้าพเจ้าคิดว่าความสุขของการทำงานที่แทนจริงจะต้องทำงานที่เกี่ยวสุขภาพของประชาชนข้าพเจ้าจึงได้ขอลงปฏิบัติงานที่สถานีอนามัย
ซึ่งการปฏิบัติงานที่สถานีอนามัยนั้น
ตรงตามรูปแบบที่ข้าพเจ้าไว้ว่างไว้
เป็นความภาคภูมิใจที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากโรคภัยต่างๆ
และรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนและได้หาสิ่งที่การแก้ไข
ซึ่งมันอาจเป็นเพียงเล็กน้อยแต่มันก็มีความสุขกับตัวของข้าพเจ้าเอง
สรุปเรื่อง
งานสาธารณสุขเป็นที่กว้าง
เพราะเป็นงานที่เกี่ยวกับประชาชนมีความหลากหลายในการทำงาน
สามารถเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ต้องมีความ
ทันสมัยอยู่ตลอด ตามโลกสมัยใหม่
ผลที่ได้รับ
การทำงานต้องมีแผน
แต่แผนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไว้ตามสถานการณ์
เรียน คุณอิสมาแอ กือตุ และคุณณัฐโชค บูเก็ม
ช่วย Copy ข้อคิดเห็นนี้ ไปไว้ที่ โจทย์เขียนรายงานวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข สัปดาห์ที่ 1 ด้วย เพราะบันทึกนี้เป็นทดสอบหลังเรียน และเราจะเรียนวันนี้ช่วงบ่าย (เรียนรู้ก่อนสิถึงจะทดสอบ ฮา...)
ในการที่จะเปลี่ยนความจำเป็นด้ารสุขภาพ(Need)ให้กลายเป็นอุปสงค์นั้นจะต้องมีสองส่วนที่ต้องร่วมกันปรับปับปรุงแก้ไข คือ
1. ในส่วนของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการจะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ/เชื่อมั่นในบริการที่จะได้รับ และ ผู้ให้บริการต้องให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอีกทั้งบริการสุขภาพที่จะทำให้เกิด Good Health for All ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ของการดำเนินงานด้านสาธารณสุขด้วยความเสมอภาคโดยเท่าเทียมกันและไม่เลือกปฏิบัติกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้ผู้ให้บริการจะต้องมีคุณธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเองในการให้บริการด้านสุขภาพและต้องกระจายโอกาสในการเข้าถึงบริการให้กับประชาชนโดยทั่วถึงกันอย่างเป็นธรรมและกำลังความสามารถ
2. ในส่วนของผู้รับบริการ ผู้รับบริการจะต้องสนใจที่ศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของตนเองอีกทั้งต้องนำความรู้ที่มีที่ได้รับเผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่รับทราบและร่วมกันพิทักษ์สิทธิของตนเองในการเข้าถึงบริการอย่างถูกต้องเหมาะสมและป็นธรรม
หลักสำคัญในการเปลี่ยนความจำเป็นด้านสุขภาพ(need)ให้เป็นอุปสงค์ ดังนี้
1.ให้ความรู้แก่ประชาชน(ผู้รับบริการ) ในเรื่องทีเกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของตนเองและชุมชน อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
2. กระจายโอกาสในการเข้าถึงบริการให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการด้านสุขภาพและที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
3. ผู้ให้บริการจะต้องมีคุณธรรม มีจริยธรรมและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพให้กับผู้รับและบริการ/ผู้ร่วมงาน
4. ผู้ให้บริการจะต้องให้บริการด้วยความเป็นธรรม เท่าเทียมและเสมอภาคกันกับผู้รับบริการทุกคนทุกกลุ่มเป้าหมาย
การจะเปลี่ยนความจำเป็นทางสุขภาพให้เป็นอุปสงค์ควรจะทราบหรือทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของแต่ละอย่างก่อนความจำเป็นทางสุขภาพ คือ ภาวะพื้นฐานที่ตอบสนองความจำดป็นทางสุขภาพของแต่ละบุคคลทั้ง 4 มิติ เพื่อให้เกิดภาวะสุขภาพองค์รวมทั้ง 4 อย่าง อันได้แก่ กาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ส่วน อุปสงค์ คือ ความต้องการของประชาชนทางด้านสุขภาพที่ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องทางสุขภาพ ความจำเป็นทางสุขภาพที่สามารถเปลี่ยนเป็นอุปสงค์ 1. มุมมองหรือกระบวนทัศน์ทางสุขภาพของประชาชนและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการควรมีการปรับเปลี่ยนแนวความคิดและมุมมองที่สอดคล้องตรงกันสามารถนำมาปฏิบัติได้และเกิดผลที่ดีกับทั้งสองฝ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านสุขภาพแก่ประชาชน โดยการกำหนดนโยบายหลักแห่งชาติทางสุขภาพให้ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ที่จำเป็นและประชาชนต้องได้รับการบริการทางนั้นและมีการถ่ายทอดหลักการเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องและตรงกัน 2. ปัจจัยทางสังคม ควรมีการส่งเสริมปัจจัยทางสังคม อาธิเช่น การศึกษา เทคโนโลยี เป็นต้น เพื่อยกระดับความรู้แก่ประชาชน3.ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ควรมีการสร้างรายได้ให้แก่ภาคประชาชนเพื่อความต้องการของประชาชนทางสุขภาพได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม 4.บุคลากร ควรมีการผลิตบุคลากรทางด้านสุขภาพ ตลอดจนมีการอบรมพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการบริการทางสุขภาพ 5.ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ ควรมีการสร้างความยืดหยุ่นอุปสงค์ให้เป็นเอกภาพเพื่อให้ส่วนที่เปลี่นของปริมาณอุปสงค์เท่ากับส่วนที่เปลี่ยนแปลงปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์ 6.ความยืดหยุ่นของอุปทาน ควรมีการสร้างความยืดหยุ่นให้เป็นอุปทานให้เป็นเอกภาพ เพื่อให้ส่วนที่เปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปทาน เท่ากับส่วนที่เปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่กำหนดอุปทาน
หลักการที่จะทำให้ความจำเป็นด้านสุขภาพทั้งหมดเปลี่ยนเป็นอุปสงค์ คือ ต้องทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงใน 2 ส่วน ดังนี้
1. การพัฒนาด้านประชาชน โดยปรับการรับรู้เกี่ยวกับความจำเป็นด้านสุขภาพ ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารทางด้านสุขภาพให้ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลต่างๆและสร้างความตระหนักในการดูแลรักษาสุขภาพ
2. การพัฒนาด้านการให้บริการ โดยการจัดบริการทางสาธารณสุขให้ครอบคลุม ประชาชนทุกกลู่มสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกและเป็นธรรม ซึ่งอาจทำได้โดย การลดต้นทุนการให้บริการ การพัฒนาคุณภาพการบริการ การพัฒนาบุคลากร การกระจายการให้บริการ การบริการที่เป็นธรรมและเสมอภาค การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และรูปแบบการให้บริการที่สอดคล้องกับสภาพการณ์
หลักการทั้ง 2 ข้อนี้ต้องพัฒนาควบคู่กันไปโดยมิให้เกิดความเหลื่อมลำกันจึงจะทำให้ความจำเป็นด้านสุขภาพกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการที่จะได้รับและได้รับการตอบสนองในที่สุด
1.ด้านบุคลากรสาธารณสุข บุคลากรทางด้านสาธารณสุขควรมีการพัฒนาใฝ่หาความรุเพิ่มเติมอยู่เสมอเพื่อรู้ทันและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและทันถ่วงทีมีประสิทธิภาพในการทำงาน2.ด้านผู้รับบริการ พึงระลึกถึงสิทธิของตนเองในการเข้ารับการบริการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพโดยการเน้นการส่งเสริมสุขภาพ
3.ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ มีการกระจายงบให้เข้าถึงผู้รับบริการได้อย่างเต็มที่เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ปัจจัยด้านสังคม การรับรู้ข่าวสารเทคโนโลยีให้มีความสอดคล้องกับความเจริญในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการส่งสเริมการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1. เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการต้องมีความรู้และเชียวชาญในด้านนั้น ๆ
2. ให้บริการแก่ผ้มาขอรับบริการด้วยความซื่อสัตย์และบริการด้วยความจริงใจยึดถือประโยชน์ของผู้มาขอรับบริการเป็นสำคัญ
1. เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเชียวชาญต่อวิชาชีพอย่างแท้จริง ก่อนที่จะเผยแพร่แก่ผู้อื่น
2. บริการด้วยความจริงใน ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่
3. ถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์อื่นใด
1.บุคคลกรทางด้านสาธารณสุขต้องพัฒนาตัวเอง และมีความพร้อมในการปฏิบัติงาน
2.เน้นการทำงานเชิงรุก โดยการเข้าถึงชุมชนและประชาชน
3.ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นธรรมในการปฏิบัติงาน
4.ต้องมีความจริงใจแก่ผู้มารับบริการ โดยความเที่ยงธรรมและไม่ให้อภิสิทธิ์แก่ผู้มารับบริการ
ควรมีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการทำงานขององค์กรของรัฐหันมองในเชิงรุกและให้ความยุติธรรมความเสมอภาพต่อผู้มารับบริการ มีความจริงใจ สุจริตต่อหน้าที่ ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก พร้อม ๆ กับมีการพัฒนาองค์กรของรัฐทั้งด้านต่างๆ
ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบและสามารถเข้าใจในองค์กรของรัฐมากขึ้นมีความมั่นใจที่จะรับบริการในหน่วยงานของรัฐ
1.ปรับระบบการให้บริการโดยการทำงานเชิงบูรณาการ เช่น การทำงานเชิงรุก ออกติดตามงานต่างๆ ในหมู่บ้าน ทำให้เราทราบข้อมูลได้หลายงาน ซึ่งเป็นการลดต้นทุน และสามารถเข้าถึงประชาชน รู้ปัญหาและความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น
2.การทำงานแบบมีส่วนร่วมของชุมชน โดยการทำประชาคมเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริงของพื้นที่ ซึ่งจะตรงกับความต้องการของประชาชน และสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด
3.พัฒนาระบบบริการให้ได้มาตรฐาน
4.ให้บริการด้วยความเสมอภาคและทั่วถึงกับประชาชนทุกคนดังคำกล่าวที่ว่า "ใกล้บ้าน ใกล้ใจ"
5.ต้องมีจิตใจที่มีคุณธรรมและจริยธรรม ของวิชาชีพซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้งานประสบความสำเร็จ
6.มีเจตนารมย์ที่แน่วแน่ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี
ขอตอบข้อนี้ใหม่
จากสมการ อุปสงค์ = (ความจำเป็น - ความจำเป็นที่ไม่รับรู้) x ความยินดีหรือความสามารถในการจ่าย การที่จะทำให้ความจำเป็นด้านสุขภาพเปลี่ยนเป็นอุปสงค์ ต้องทำความจำเป็นที่ไม่รับรู้ให้กลายเป็นศูนย์ ซึ่งความจำเป็นที่ไม่รับรู้มี 2 ลักษณะ คือ ประชาชนไม่รู้กับเจ้าหน้าที่ไม่อธิบาย สามารถทำให้ 2 ลักษณะนี้หมดไป โดยใช้กระบวนการทางสุขศึกษา คือ การให้ความรู้แก่ประชาชนและบอกให้ประชาชนทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ เช่น การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง เจ้าหน้าที่ต้องอธิบายสาเหตุ อาการ การรักษา การปฏิบัติตน ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษา ให้ผู้ป่วยเข้าใจเมื่อผู้ป่วยเข้าใจ การดูแลตนเองและการรักษาก็จะได้ผลดีขึ้น เมื่อทำ 2 อย่าง (ให้ความรู้ประชาชนและบอกให้ประชาชนทราบ) ควบคู่กันไปก็จะทำให้ความจำเป็นที่ไม่รับรู้เป็นศูนย์ ซึ่งจะเกิดอุปสงค์การเต็มใจจ่าย
ขอตอบข้อนี้ใหม่
จากสมการ อุปสงค์ = (ความจำเป็น - ความจำเป็นที่ไม่รับรู้) x ความยินดีหรือความสามารถในการจ่าย การที่จะทำให้ความจำเป็นด้านสุขภาพเปลี่ยนเป็นอุปสงค์ ต้องทำความจำเป็นที่ไม่รับรู้ให้กลายเป็นศูนย์ ซึ่งความจำเป็นที่ไม่รับรู้มี 2 ลักษณะ คือ ประชาชนไม่รู้กับเจ้าหน้าที่ไม่อธิบาย สามารถทำให้ 2 ลักษณะนี้หมดไป โดยใช้กระบวนการทางสุขศึกษา คือ การให้ความรู้แก่ประชาชนและบอกให้ประชาชนทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ เช่น การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง เจ้าหน้าที่ต้องอธิบายสาเหตุ อาการ การรักษา การปฏิบัติตน ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษา ให้ผู้ป่วยเข้าใจเมื่อผู้ป่วยเข้าใจ การดูแลตนเองและการรักษาก็จะได้ผลดีขึ้น เมื่อทำ 2 อย่าง (ให้ความรู้ประชาชนและบอกให้ประชาชนทราบ) ควบคู่กันไปก็จะทำให้ความจำเป็นที่ไม่รับรู้เป็นศูนย์ ซึ่งจะเกิดอุปสงค์การเต็มใจจ่าย