เรื่องเล่าไท สกลฯ : ผลพลอยได้จากการกลับบ้านลงมติ ๑๙ ส.ค.๕๐ (๒)


               ดิฉันกับแม่ออกกำลังกายเสร็จก็ประมาณ ๗ โมงกว่า ก็พาแม่ไปตลาดซื้ออาหารเช้าเตรียมให้คนที่บ้านกินและเพื่อทำแกงลาวกิน.. แบบว่าทำทั้งทีต้องกินทั้งวัน (แกงอะไรก็ได้ที่ใส่ปลาร้าเราเรียกแกงลาวหมด.. แต่วันนี้เราจะทำแกงลาวที่ใส่ยอดมะพร้าวและพักทองเป็นหลัก)    ตลาดที่สกลเปลี่ยนไปเยอะเพราะแต่ก่อนตลาดตอนเช้าจะมีแค่ตลาดใหญ่ๆ แค่ตลาดเดียวที่มีทั้งของกิน ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และของใช้ต่างๆ อยู่ในบริเวณเดียวกันหมด แต่เดี๋ยวนี้มีตลาดเล็กๆ บริเวณติดๆ กันหลายแห่งซึ่งมีเจ้าของตลาดคอยดูแลอยู่.. ส่วนใหญ่บ้านดิฉันจะกินผักเยอะ ตอนไปซื้อผักแม่ก็จะบอกว่าต้องไปซื้อที่ตลาดตุ๊กแก..

              ตอนแรกดิฉันก็สงสัยว่าทำไมต้องไปซื้อที่ตลาดตุ๊กแกซึ่งดิฉันเข้าใจมาตลอดว่าเขาขายตุ๊กแกไม่เห็นจะต้องไปซื้อที่นั่นเลย.. แต่ก็เดินตามแม่ไป พอไปถึงก็ไม่เห็นมีตุ๊กแกขายเลย ส่วนใหญ่เป็นพวกผัก ผลไม้เสียส่วนใหญ่ ก็คิดในใจและเข้าใจ (จากข้อมูลที่มีอยู่ในความจำว่า.. เจ้าของตลาดนี้แต่ก่อนเป็นคนขายตุ๊กแก) ว่า ที่เขาเรียกตลาดตุ๊กแกก็เรียกกันติดปากตามเอกลักษณ์ที่เรียกกันแล้วเข้าใจง่ายนั่นเอง แต่ไม่ใช่ชื่อตลาดจริงๆ สักหน่อย... แต่พอเดินเข้าถึงกลางตลาดดิฉันก็เหลือบไปเห็นป้ายขนาดใหญ่ป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า “ตลาดตุ๊กแก” และมีรูปตุ๊กแกตัวใหญ่ๆ ปากสีแดงประดับตกแต่งป้ายโฆษณานั้น.... อุ๊ย..ตลาดนี้ชื่อตลาดตุ๊กแกจริงๆ ด้วย มีป้ายแสดงอย่างเป็นทางการขนาดนี้.. ที่คิดไว้ทั้งหมดผิดถนัด    จริงๆ แล้วตลาดอื่นที่ใกล้เคียงเขาก็ไม่มีชื่อตลาด.. ตลาดตุ๊กแกนี้ก็ไม่เห็นต้องตั้งชื่อแบบนี้ก็ได้นี่นา.. เพราะไม่ใช่ชื่อที่น่าอวดใครได้เลย ดิฉันก็เลยถามแม่ดูเผื่อแม่จะรู้  แม่บอกว่าก็เขาภูมิใจเพราะเขาร่ำรวยมีคนรู้จักก็เพราะตุ๊กแก (แม่เรียกเขาว่า เจ๊ตุ๊กแก) แล้วแม่ก็เล่าประวัติของเขาให้ฟังว่า...

          เจ๊ตุ๊กแก ไม่ใช่คนสกลน่าจะเป็นคนกรุงเทพ เขาอยู่กับพ่อเขา   เขาเห็นว่าตุ๊กแกเป็นยาเอาไปขายเมืองจีนได้ราคาสูง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาปักหลักมาจับตุ๊กแกขายที่สกล สงสัยเขาเห็นว่าตุ๊กแกเยอะมั๊ง..  ราคาตุ๊กแกที่เขารับตอนนั้นถ้าเป็นตุ๊กแกที่ยังไม่ตาย ยังเป็นๆ อยู่ เขาคิดราคาตัวละ ๓ บาท  และราคาจะแพงขึ้นคือตัวละ ๖ บาท ถ้าชำแหละ ลอกหนังขึงตรึงกับไม้มาเรียบร้อย (คือ ตุ๊กแกจะถูกเอาเครื่องในออกหมด แล้วจับตุ๊กแกกางขาทั้ง ๔ ออก แล้วขึงตรึงกับไม้ไผ่ที่ทำเป็นรูปกากบาท ... ดิฉันจะเรียกว่า ตุ๊กแกกางปีก.. ที่ดิฉันจำได้เพราะตอนเด็กๆ ร้านตุ๊กแกของเขาอยู่ใกล้ๆ บ้านดิฉันเอง.. เวลาเดินผ่านร้านตุ๊กแกจะเดินตรงฟุตบาทหน้าร้านไม่ได้ต้องเดินอ้อมๆ ลงข้างถนนเพราะกลิ่นตุ๊กแกจะเหม็นสาบมาก )  ...  สำหรับตุ๊กแกที่ยังไม่กางปีกจะถูกขังอยู่ในกรงรอการชำแหละ  ตอนนี้แม่บอกว่า มีอยู่วันหนึ่งกรงตุ๊กแกปิดไม่สนิทตุ๊กแกที่ถูกขังก็เลยเดินขบวนหนีตายออกมาไปอยู่ตามบ้านใกล้เคียงกันหมดรวมถึงบ้านดิฉันด้วย    เจ๊ตุ๊กแกก็ให้คนในร้านออกมาจับตุ๊กแกตามบ้านต่างๆ  แต่พอมาถึงบ้านดิฉันพ่อก็ไม่ให้จับบอกว่าตุ๊กแกบ้านนี้ไม่ให้จับ.. ตั้งแต่นั้นมาบ้านดิฉันก็มีตุ๊กแกเยอะกว่าบ้านอื่นๆ (ดิฉันยังจำได้ตอนเด็กๆ มักจะเอาไข่ตุ๊กแกมาเล่นเป็นประจำ..เพราะ สีขาว กลมๆ สวยดี)       ที่เจ๊ตุ๊กแกภูมิใจในตุ๊กแกอาจเพราะมีครั้งหนึ่งหลังจากที่สมเด็จพระเทพฯ กลับจากประเทศจีนได้มาที่สกลเพื่อมาดูร้านตุ๊กแกโดยเฉพาะ เพราะสมเด็จพระเทพฯ  ตรัสว่าคนจีนบอกว่าตุ๊กแกที่คนจีนเอามาทำยานี้ได้มาจาก จ.สกลนคร ประเทศไทย จึงอยากมาดูเพราะไม่เคยรู้เลยว่าประเทศไทยมีการทำตุ๊กแกด้วย...

         แต่ระยะหลังสงสัยตุ๊กแกจะหายาก หรือ ใกล้จะหมดแล้วใน จ.สกลนคร .. ร้านตุ๊กแกก็เลยเลิกไปแต่คนส่วนใหญ่ใน จ.สกลนคร ก็ยังคงเรียกเจ๊แกว่า.. เจ๊ตุ๊กแก ซึ่งแกก็ภูมิใจ

          จะว่าไปแล้ว ความภูมิใจของคนเรา.. จะดูแค่ภายนอกไม่ได้  เรื่องบางเรื่องอาจไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจสำหรับเรา แต่เราก็ไม่ควรตัดสินว่าเรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนอื่นด้วย.. เพราะเบื้องหลังความสำเร็จหรือความภูมิใจนั้นมันมีองค์ประกอบแวดล้อมอีกมากมาย.. ที่คนที่มองจากข้างนอกเพียงผิวเผินอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ลึกซึ้ง

หมายเลขบันทึก: 121613เขียนเมื่อ 23 สิงหาคม 2007 22:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อึม.....อ่านแล้วเห็นภาพเลย....ตุ๊กแกกางปีก เคยเห็นร้านขายยา ที่กรุงเทพ ขาย ตัวละ 250 บาท เขียนสนุกดีครับ  จะรออ่านตอนต่อไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท