เป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และผมเชื่อว่าใครหลายๆคนต้องเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้าง
ดูภาพประกอบ
สมมุติว่าในภาพประกอบ เป็นฉากหน้างานแต่งงาน(back drop)
มีการจัดไฟสตูแต่งไว้เรียบร้อย
เมื่อเราเดินเข้าไปในงานแต่งและได้ร่วมถ่ายภาพหมู่กับ คู่บ่าวสาว
จากนั้นก็อยากถ่ายภาพจากกล้องดิจิตอลตัวน้อยของเราที่พกไปด้วย
จึงหยิบขึ้นมาถ่าย...
จากนั้นปรากฏว่าภาพที่ได้ ... มืดดำปี๋... หรือ สว่างขาวโผล่ ....
จนทำให้เราต้องสงสัยว่ากล้องเราเป็นอะไรไปเนี๊ย ??
ผมจะบอกว่าไม่ต้องตกใจครับ เหตุการณ์นี้เรียกว่า กล้องถูกแสงจาก
ไฟสตูรบกวน มีผลทำให้กล้องเราวัดแสงผิดพลาด ภาพเลยเสีย
อธิบาย..
ถ้าจะให้พูดเรื่องการวัดแสงของกล้อง และการวัดแสงแฟลช คงยาวแน่ๆ งั้นเอาเป็นสรุปย่อๆ คือ
ไฟสตู ใช้เพิ่มความสว่าง และกำลังแรงมากพอสมควร(หัวไฟสตูมีหน่วยกำลังไฟเป็นวัตต์) แรงแค่ไหนนะหรอ ..
เอาเป็นว่าสามารถ ใช้ค่า ISO 100 f8 สปีด 1/200 ได้เลยล่ะครับ
ถ้านึกไม่ออก เป็นค่าปริมาณแสงที่มาก ประมาณว่าเหมือนเราไปยืนถ่ายกลางแดดตอนกลางวันแบบไม่มีเมฆครับ
ไฟสตูจะทำงานจังหวะเดียวจบ คือ กดชัตเตอร์ 1 ครั้ง ไฟยิงออกมา 1 ครั้งพร้อมกัน
ในกรณีเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างนี้ กล้องDSLR จะใช้แฟลชภายนอกยิงแฟลชออกไปสั่งให้ตัวเซ็นเซอร์รับแสง(โดมพลาสติกสีขาวในภาพ)ที่อยู่ส่วนท้ายของไฟสตู ทำงานภายในเสี้ยววินาที
โดยแฟลชหัวกล้อง DSLR นั้นการใช้ร่วมกับไฟสตู จะต้องเลือกปรับเป็นโหมด M (manual) จุดประสงค์หลักๆ คือ ต้องการให้ยิงแสงออกครั้งเดียว
ที่นี้มาดูกล้องดิจิตอล(ในกรณีนี้ผมหมายถึงดิจิตอลคอมแพค) ที่เราใช้กันบ้าง
กล้องคอมแพคส่วนมากจะทำงานเป็นระบบออโต้เต็ม 100 % ที่เขียนว่ามีโหมด M ใช้งานจริงก็ปรับอะไรได้ไม่เยอะหรอกครับ ถึงปรับได้ก็มีผลน้อยมากเมื่อเทียบกับ ระบบกล้อง DSLR ซึ่งมีพื้นฐานและระบบต่างให้ผลเหมือนฟิลม์มากกว่า คอมแพค
บริเวณหน้างานแต่งงานที่เห็นว่าสว่างด้วยแสงไฟ แต่จริงๆ แล้วแสงสว่างน้อยครับ กล้องเลยเลือกให้ใช้แฟลชร่วมด้วยในขณะที่จะถ่าย โดยเป็นแฟลชในระบบ TTL
ระบบ TTL (through the lens) คือ ....
เมื่อเรากดชัตเตอร์ 1 ครั้ง ระบบ TTL ทำงานโดยจะยิงแสงแฟลชออกมาจำนวน 2 ครั้ง
1. ยิงแสงครั้งแรก เรียกว่า pre-flash
เพื่อให้แสงไปกระทบวัตถุที่เราจะถ่าย แล้ว sensor ในกล้องจะทำการวัดแสงที่วิ่งเข้ามาผ่านเลนส์ แล้วนำค่าแสงที่ได้ไปคำนวณปริมาณกำลังไฟแฟลชที่จะยิงออกไป
ทำให้ได้ภาพในส่วนที่แฟลชยิงถึงสว่างพอดี (ระยะคงไม่น่าจะเกิน 3 -10 เมตรในที่ร่มหรือตอนกลางคืน)
2. ยิงแสงครั้งที่สอง คือ แสงจริง
ยิงออกไปพร้อมกับการทำงานของชัตเตอร์ จนจบกระบวนการ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------
สรุปว่า
ไฟสตูทำงานโดยการยิงแสง 1 ครั้ง ต่อการกดชัตเตอร์ 1 ครั้ง
ส่วนแฟลชระบบ TTL ในกล้องคอมแพค ยิงแสง 2 ครั้ง ต่อการกดชัตเตอร์ 1 ครั้ง
พอมองออกมั้ยครับว่ามันไม่สัมพันธ์กัน..
** ทีนี้มาดูปัญหาที่เกิด
กล้องคอมแพคส่วนมาก ไม่สามารถใข้แฟลชเป็นแบบ M (manual)
ที่เขียนว่า A นั้นคือ โหมดออโต้ ซึ่งก็คือระบบ TTL นั้นเอง
ภาพมืดเกิดจาก..
เมื่อเรากดชัตเตอร์ ที่ตัวกล้องจะยิง pre-flash ออกไปพร้อมทั้งวัดแสง ในระหว่างที่วัดแสงนี้เอง แสงแฟลชเราก็ไปสั่งให้ไฟสตูนั้นทำงานตามไปด้วย
เมื่อไฟสตูทำงาน ทำให้บริเวณนั้นมีค่าแสงสว่างมาก (สว่างเหมือนถ่ายกลางแดดเลยก็ว่าได้)
เมื่อมันสว่างมากขึ้น กล้องของเราก็คำนวณปริมาณแสง ณ ขณะนั้นไว้ โดยค่าที่ได้เสมือนว่าเราถ่ายกลางแดด แต่จริงๆ แล้วห้องนั้นแสงน้อยมาก
พอระบบวัดแสงกล้องเราโดนหลอกและวัดแสงผิดพลาดไปเรียบร้อยแล้ว
ก็ยิงแฟลชครั้งที่สองออกมาพร้อมทั้งชัตเตอร์ก็ทำงานในจังหวะนี้เอง
แต่... จังหวะที่สองนี้เองที่ไฟสตูนั้นเริ่มดับลงเพราะยิงแสงสว่างออกไปแล้ว 1 ครั้งก็จบการทำงาน และต้องใช้เวลาชาร์ทไฟราว 0.5 - 2 วินาทีเพื่อชอตต่อไป
กล้องวัดแสงครั้งแรกคิดว่าสว่าง(เท่ากลางวัน) ถ่ายออกไปด้วยค่าแสงที่วัดได้ผิดๆ ภาพออกมาก็มืด..
-----------------------------------------------------------------------------------------
ภาพที่ได้สว่างเกินไป...
สาเหตุอาจเป็นเพราะ แสง pre-flash ของกล้องเรามีปริมาณน้อย จนไม่สามารถสั่งให้ไฟสตูทำงานในจังหวะวัดแสงได้ แต่ไฟสตู ดันมาทำงานตอนที่ยิงจริง(ซึ่งต้องเวลายิงจริงแฟลชกล้องจะทำงานแบบเต็มที่) จึงมีผลไฟสตูรับแสงเข้าตัวเซ็นเซอร์และให้แสงออกไป..
กล้องเราวัดแสงได้ค่าแสงที่คำนวณแล้วว่าห้องนั้นมืด
ซึ่งถ้าไฟสตูไม่ทำงานภาพนั้นก็จะสว่างพอดี ด้วยแสงจากแฟลชกล้องเพียงอย่างเดียว
แต่.. ในกรณีนี้ กล้องกับแฟลชที่เราถ่าย ได้แสงจากไฟสตูมาบวกเพิ่ม ภาพก็เลยสว่างเสียจนขาวนั้นเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
1. ถ่ายแบบไม่ต้องใช้แฟลช ซึ่งอาจจะต้องถือให้มือนิ่งมากๆ ถึงมากที่สุด เพราะไม่งั้น เบลอแน่นอน
2. ถ่ายแบบไม่ต้องใช้แฟลช โดยใช้ขาตั้งกล้องมาช่วยถ่าย
3. ย้ายสถานที่ ออกมาจากบริเวณนั้น แล้วก็สามารถใช้แฟลชได้ปกติ
4. ยื่นกล้องของเราให้ช่างภาพในงานถ่าย แล้วรอลุ้นว่าจะได้ภาพเหมือนที่เราถ่ายหรือดีกว่ามั้ย??
อธิบายจบแล้วมีข้อสงสัย ถามได้ครับ
กล่าวถึงระบบต่างๆไปเยอะ หัวข้อต่อๆ คงมีเรื่องเขียนอีกเพียบแน่ๆ วันนี้ฝากเท่านี้ครับ พบกันได้ใหม่บันทึกหน้าสวัสดีครับ..
เพิ่งเข้าใจครับ อาจารย์ Ko ว่าเป็นแบบนี้นี่เอง
ขอลงเรียนด้วยคนครับ
^^
ขอบคุณครับ เคลียร์เลย ขอบคุณสำหรับความรู้คับ คุณ ko
โหวตครับโหวต ได้ความรู้อีกแล้ว