สืบเนื่องจากที่ผมเปิดประเด็นไว้เมื่อวานนี้ว่า ระบบคิดและระบบการดำรงชีวิต แบบ “งูกินหาง”
เป็นอุปสรรคในการจัดการความรู้และพัฒนานั้น
เป้าหมายหลักในการนำเสนอในเบื้องต้นของผมก็คือ ผมได้พยายามฝากประเด็นให้พันธมิตรช่วยกันคิด จากประสบการณ์ของท่าน เพื่อผ่าทางตันของ “งูกินหาง” ที่หาทางออกแทบไม่ได้ วนไปวนมาอยู่เช่นนั้น
หลายท่านบอกว่าไม่มีทางออกหรอก ท่านมหาชัยวุธ ก็มาช่วยเสริมว่า ตะถะตา ปล่อยไปเถอะ
แต่ ผมก็มาคิดต่ออีก และยังคิดว่าน่าจะยังมีทางออกบ้าง ไม่ถึงกับทางตัน เสียทีเดียว
เพราะถ้าเป็นทางตันแล้วก็น่าจะเป็นปัญหาในระดับโลกทีเดียว เช่นไม่รู้จึงไม่ได้คิด ไม่คิดเพราะไม่รู้
ที่ทำให้เกิดสภาวะตีบตันทางความรู้เพื่อการพัฒนากันทีเดียว
จากการทำงานกับชุมชน และหารือเรื่องนี้ หารือเพื่อหาทางออกกันบ่อย ตามสไตล์การโยนคำถามของผม พบว่า ยาแก้พิษงูกินหางที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ
หลักของอริยสัจ ๔ นำมาดัดแปลงได้ดังนี้
· เปิดประเด็นไปที่เริ่มต้นว่า ท่านรู้สึกว่ามีชีวิตแบบไหน (ทุกข์)
· และ ที่เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สบาย อึดอัด ไม่ราบรื่นอยู่ทุกวันนี้ นั้น คืออะไรกันแน่ (สมุทัย)
· การเดินทางในชีวิตของท่าน ขอให้พิจารณาว่า สุดท้ายแล้วทุกคนต้องการอะไร (นิโรธ)
· แล้วจะทำอย่างไร จะได้ไหมถ้าอยู่แบบเดิมๆ อย่างนี้ (มรรค)
ยาขนานที่ว่านี้ก็ยังใช้ได้กับคนที่ยอมจะกินยาขนานนี้เท่านั้น
กลุ่มที่เป็นหนักๆ ปฏิเสธยาทุกขนานนั้น แม้แต่ศีล ๕ ก็ยังไม่พูดตาม ก็คงต้องปล่อยให้สาหัสกว่านี้ (แต่ก็จะแก้ยากขึ้นไปอีก)
แต่ ถ้าตั้งใจจะแก้ไขกลุ่มที่อาการหนักมากๆ ก็อาจต้องอาศัยคนที่เคยเป็นแบบเดียวกันแต่สำเร็จมาแล้ว
ในระดับโจรกลับใจ
มาเล่าให้ฟัง ก็อาจจะยอมกินยาถอนพิษนี้ สักเล็กน้อยก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
และถ้าปัจจัยแวดล้อมสนับสนุน ก็อาจหายได้ในเร็ววัน
แต่ถ้าปัจจัยแวดล้อม (ครอบครัว สังคม ทรัพยากร) ไม่เป็นใจ ก็ไปยากเช่นกัน
คนที่เคยโดนพิษงูกินหาง และฝ่าด่านวงล้อมที่เป็นพิษมาได้ นับว่าเป็นปราชญ์เลยละครับ
ที่ได้รับการยกย่องกันอยู่ในปัจจุบันนี้แหละครับ
ตัวอย่างจริงมีให้เห็นอยู่มากมาย
อะไรที่ใกล้เคียง แบบ
ลางเนื้อชอบลางยา
ก็เลือกใช้ได้เลยครับ ทั้งกับตนเอง และผู้ที่เป็นที่รักของเรา
หรือใครมีอะไรจะเพิ่มเติม
หรือทางเลือกอื่นๆอีก เชิญเลยครับ
ไม่มีความเห็น