วันที่ 17 สิงหาคม 2550
วันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ 15 นับไปก็เหลือ 89 วันแล้วครับหลายคนที่คณะแพทย์ของกระผมคงจะโล่งใจ เพราะว่าเป็นวันสุดท้ายของงานประชุมวิชาการประจำปี ซึ่งปีนี้ภาคเด็กเป็นเจ้าภาพจัดงาน ปีที่แล้วภาคสูติเป็นเจ้าภาพ โดยมีอ.สุธรรมเป็นหัวเรียวหัวแรง ทุกปีผมจะไปร่วมงานประชุมสม่ำเสมอไม่เคยขาดไปไหน แต่ปีนี้ไม่มีโอกาส ยังไม่มีใครส่งข่าวมาเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ที่เป็นกังวลก็คือเราจะจัดงานแนะนำครูและนักเรียนโรงเรียนมัธยมเรื่องการเรียนแพทย์ด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผมรับปากไว้กับงานประชาสัมพันธ์ เมื่อปีที่แล้วก็จัดไปได้ด้วยดี ปีนี้ได้ข่าวว่านิพัทธ์เพื่อนผมจะเป็นพ่องานให้ ก็ค่อยถามก็แล้วกัน อีกทั้งปีนี้เป็นปีที่อาจารย์มยุรีที่รักของพวกผมเกษียร เลยมีพิธีรดน้ำอาจารย์ในงานสังสรรค์ศิษย์เก่า ซึ่งรุ่น 9, 19, 29 เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยมีสมาคมศิษย์เก่าฯเป็นคนช่วยดำเนินงานให้อีกแรง อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ การเลือกประธานและกรรมการศิษย์เก่ารุ่นใหม่ ตอนนี้ผมเป็นเลขาสมาคมซึ่งพักงานชั่วคราว เลขาผม (อีกที) ส่ง mail มาถามว่า ผมจะเป็นกรรมการอีกหรือไม่ ก็เลยบอกไปว่าบ๊ายบายแล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าใครได้รับเลือกบ้าง
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าเศร้าใจมากสำหรับผมเอง เพราะว่าตั้งแต่เช้าต้องตรวจคนไข้ และมีคนร้องไห้กับผมถึง 2 คนด้วยเรื่องแบบเดียวกัน คนแรกเป็นป้าที่เป็นมะเร็งมดลูกที่รักษาแล้วประมาณ 2 ปี และมีปัญหากระเพาะปัสสาวะไวเกิน เราก็ตรวจและส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะเธอไปเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน เธอบอกว่าตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเธอนอนไม่หลับเลย เพราะเป็นกังวลเรื่องผลการตรวจ เมื่อผมบอกว่าทุกอย่างปกติ เธอดีใจอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว ก็มาถึงเรื่องการรักษาต่อก็คือจะให้ยา แต่เธอบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องรักษา จากนั้นก็คุยกันสนุกสนานประสาผมนั่นแหละ แต่พักหนึ่งเธอก็เริ่มคร่ำครวญว่าค่ารักษาพยาบาลที่สิงคโปร์นี่สูงมาก คนแก่ๆไม่มีงานทำอย่างเธอนี่ลำบากไปเลย ยิ่งเป็นมะเร็งอย่างนี้ ไปหาหมอทีนึง เสียตังค์ครั้งหลายเหรียญ ลี เซียน หลง (นายกของเขา) บอกว่า เราจะดูแลคนแก่อย่างดี ให้เงินใช้เดือนละ 600-800 เหรียญต่อเดือน แต่ไม่นานก็มาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 7% ทุกอย่างที่นี่เสียตังค์ทั้งนั้น แล้วเงินแค่นี้จะพอใช้ได้อย่างไร เธอยังต่อว่ารัฐบาลอีกสารพัด ท้ายที่สุดก็มาเล่าเรื่องลูกให้ฟัง ตลอดเวลานี่ผมฟังและพยักหน้ารับฟังอย่างเดียวเลยครับ แกเล่าเรื่องที่ลูกชายคนสุดท้อง ที่เรียนเก่งที่สุด ต้องมาเสียชีวิตขณะเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 ถึงตอนนี้น้ำตาก็พรั่งพรู เล่าไปร้องไห้ไป 7 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยนอนหลับได้อย่างสบายเลยสักคืนเดียว ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ฟังอย่างเดียว เวลาผ่านไปนานมากจนกระทั่งแกหยุดเองแล้วก็ลาจากกันไป
คนไข้คนต่อมาก็คนแก่อายุ 70 กว่าปี เธอนั่งรถเข็นเข้ามาไม่พูดไม่จาหน้าตาบึ้งตึง ลูกสาวและหลานสาวเข้ามาด้วย เมื่อถามถึงเรื่องอาการปัสสาวะ แกก็ตอบไปงั้นๆแต่ไม่มีใครเข้าใจ ลูกสาวก็เลยคั้นคำตอบอีก จนกระทั่งแกก็เริ่มร้องไห้ เลยรู้ว่าแกเพิ่งเสียลูกชายไปเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ตอนนี้เลยไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น รู้เรื่องถึงตอนนี้ผมจึงเลิกถาม แล้วมานั่งไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะบอกลูกสาวว่า หากเวลาผ่านไปนานเกิน 6 สัปดาห์แล้วอาการซึมเศร้ายังไม่ดีขึ้น ควรพาท่านไปพบจิตแพทย์
ทำไมผมจึงเจอแต่คนไข้ร้องไห้นะ 3 เดือน เจอไป 4 คน สาว 2 แก่ 2
ตอนบ่ายก็เลยเข้าห้องผ่าตัดเพื่อช่วยครูลีต่อ ตอนนี้ก็เจอเรื่องระทึกอีกจนได้ ในห้องกินข้าวผมเจอหมอ หว่อง ฟุก เขาบอกว่าคลีอารมณ์เสียมากที่คนไข้รายหนึ่งถูกระงับผ่าตัดเนื่องจากมีปัญหาเรื่องหัวใจเล็กน้อย และไม่มีใครรายงานท่านเรื่องผลอัลตราซาวนด์ไตผิดปกติ
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานที่ผมไปดูคนไข้ก่อนผ่าตัดกับดันดีและนาตาลี คนไข้คนนี้อายุ 70 กว่าๆ มีปัญหามดลูกและช่องคลอดหย่อน เธอมีปัญหาโรคความดันโลหิตสูงด้วย ซึ่งยังควบคุมได้ไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องโรคย้ำคิดย้ำทำดัวย เราก็ทราบว่าผลปัสสาวะแกผิดปกติ โปแตสเซี่ยมในเลือดต่ำ และเพิ่งกลับมาจากอัลตร้าซาวนด์ใหม่ๆ เมื่อวานเราจึงตรวจปัสสาวะใหม่ จัดการเรื่องสมดุลเกลือแร่ให้ วันนี้ตอนเช้าจึงได้ทราบผลการอ่านอัลตราซาวนด์ว่าแกมีก้อนเล็กๆที่ไต ไม่แน่ใจว่าเป็นนิ่วหรือเนื้องอกกันแน่ ตอน round เช้าวันนี้อาร์เธอก็เลยบอกว่า ให้ถามครูลีว่าจะให้ส่งตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือไม่ ผมก็รับคำ แต่คิดว่าจะไปคุยกันที่ห้องผ่าตัด เพราะเห็นว่าไม่ด่วนมาก เนื่องจากตอนนั้นท่านคงเริ่มผ่าตัดช่วงเช้าแล้ว
หว่อง ฟุก เล่าว่า เธออารมณ์เสียมาก ที่ไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ให้ทราบ ยิ่งหมอดมยาระงับผ่าตัดอีกด้วยแล้วเลยยิ่งโกรธใหญ่ งานนี้คนที่ซวยคือดันดี เพราะว่าช่วยผ่าตัดช่วงเช้าเลยถูกไปเต็มๆ ตอนที่รับทราบนั้นก็งงงงว่าทำไมถึงระงับผ่าตัด เพราะเท่าที่ผมดู (ประสาผม) ก็ไม่คิดว่าแกจะมีปัญหาเรื่องหัวใจเลย คลื่นหัวใจก็ปกติ ก็เลยงง เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัด เจอครูลี ท่านเลยมองมาตาเขียวเชียว ผมเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตรงตามที่คิดคือ ทำไมผมไม่รายงานให้ท่านทราบ ก็บอกว่าจะมารายงานในนี้ ท่านก็เลยต่อว่า ไม่สายไปเหรอ ถ้าคนไข้ต้องผ่าตัด 2 อย่าง เราสามารถทำได้ในคราวเดียวเลย แต่ท่านกลับไม่ด่าผมแรงแฮะ สงสัยหมดไปกับดันดีซะแล้ว และผมก็เริ่มผ่าตัดกับท่านต่อไป ท่านก็ยังคงให้ผมผ่าเป็นมือแรกเหมือนเดิม ผมบอกท่านว่า ทั้งหมดเป็นความผิดผม ไม่น่าไปด่าดันดีเลย ท่านก็บอกว่า ไม่รู้ล่ะ ใครอยู่ใกล้เอาก่อน ผมเลยพึมพำว่า สงสัยเสร็จผ่าตัดผมต้องพาเขาไปเลี้ยงน้ำชาซะแล้ว เธอเลยต่อว่าต้องพาเธอไปด้วย
เกือบจบการผ่าตัด อาร์เธอก็โทรเข้ามาหาครูลีอีก บอกว่าเขาทราบว่าการผ่าตัดถูกระงับเลยรู้สึกโกรธมาก โกรธที่ไม่มีใครรายงานครูลี ? และพูดกับครูผมอีกยืดยาว ก็คงรายงานเรื่องที่อาร์ลีนบอกว่าไม่ต้องดูคนไข้ก่อนผ่าตัดของครูลีนั่นแหละ (อันนี้ผมเดานะ) และไม่นานนักเขาก็โทรเข้ามาหาผมและต่อว่าอีกยืดยาว ผมก็ไม่ตอบโต้ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน เพราะคงมีเรื่องคุยกันอีกยืดยาว
ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจมากมายนัก ว่าอะไรกันนักหนา ครูลีจบแล้วทำไมอาร์เธอยังไม่จบ ทั้งหมดน่าจะเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันมากกว่า และผมยังได้ข้อคิดอีกด้วยว่า เราทั้งทีมนั่นแหละที่ดูคนไข้ได้ไม่ดีพอๆกัน อย่างแรกก็คือ คนไข้คนนี้เพิ่งมาตรวจเมื่อวันจันทร์ และเราก็นัดผ่าตัดวันนี้เลย โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเขามีปัญหามากแค่ไหน อายุก็มากมายเหลือเกิน เราน่าจะนัดมาดูผลเลือดผลการตรวจต่างๆก่อนผ่าตัด จัดการปรึกษาหมอแผนกอื่นให้เรียบร้อยเสียก่อนนอนโรงพยาบาล นี่นัดมานอนเย็นวันพฤหัส ผ่าวันศุกร์ หมอดมยาก็ดูคนไข้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทราบว่าคนไข้มีโปแตสเซี่ยมต่ำก่อนใคร ก็แก้ปัญหาด้วยการให้กินโปแตสเซี่ยมเพิ่มโดยไม่ได้หาสาเหตุเพิ่มเติมเลย เช้าวันนี้ก็ยังมีระดับต่ำอยู่ อาร์เธอก็แก้ไขโดยการให้ทางหลอดเลือดในปริมาณที่สูงจนผมตกใจ เรียกว่ารักษากันตามผลเลือดเลยเชียว ผลอัลตราซาวนด์ก็มาได้รับในตอนเช้าวันผ่าตัดซึ่งก็คือวันนี้ จริงครับที่ผมไม่ได้รายงานครูนั้นเป็นความผิดของผม (และอาร์ลีน : รับไปพร้อมๆกันนะครับ เพราะอยู่ทีมเดียวกัน) เต็มๆ แต่เมื่อมาย้อนดูแล้ว ผมคิดว่าเราก็น่าจะพลาดไปพร้อมๆกันนั่นแหละ
คืนวันนี้ดันดีกลับอินโดนีเซีย พรุ่งนี้ผมกลับบ้าน แต่ตอนเช้าจะไป round ก่อน นัดกับอาร์เธอไว้ 8 โมงเช้า ส่วนวันอาทิตย์ชาฟาลีจะ round กับนาตาลีและอาร์ลีน คนไข้คนนี้ก็กลับบ้านไปแล้ว ผมได้ไปเจอแกก่อนจะกลับ เลยได้อธิบายให้ลูกแกได้เข้าใจ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาเลย สงสัยจังเลยว่าปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่น๊า
อ่านบันทึกที่เขีบนขึ้นของอาจารย์ฯ ครั้งใด ไม่เห็นิ้วรอยของคุณหมอเลยนะครับ พร่ำเขียนเสนอเรื่องประหนึ่งคนที่เรียนมาในทางอักษรศาสตร์และวรรณกรรม..
แต่ผมก็ชอบอ่านทำนองนี้ ไม่จำเป็นต้องจัดแต่งเป็นประเด็น ๆ รายบรรทัด
.....
อาชีพหมอเป็นอาชีพที่สร้างกุศลได้อย่างมหาศาล ...ผมคงมีบุญวาสนามาก หากในอนาคตลูกชายสักคนมีศักยภาพทางสมองที่จะเรียนแพทย์ กระนั้นก็สุดแท้แต่เขาจะเลือกวิถีของเขาเอง เพราะกว่าจะเลือกก็ยังอีกยาวไกล
ขอให้อาจารย์เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มาก ๆ นะครับ... ขณะนี้ประเทศไทยนับวันรออยู่นะครับ
สวัสดีค่ะ
เป็นแพทย์นี่ก็มีความเครียดนะคะ สงสารคนไข้ด้วย เป็นดิฉัน คงหดหู่มากเลย แต่อยู่ๆไป ก็อาจจะทำใจได้
คุณหมอ เป็นยังๆงบ้างคะ เห็นความทุกข์คนอื่นต่อหน้าอย่างนี้
สวัสดีครับอาจารย์
งงจังเลยครับ ว่าภาษาประการใดของผมที่ทำให้อาจารย์คิดเช่นนั้น ก็แค่เขียนเหมือนเรากำลังดำเนินชีวิตไปก็เท่านั้น ดีอย่างหนึ่งคือการได้ทบทวนตัวเอง
อาชีพหมอมีโอกาสได้สร้างบุญมหาศาล แต่ก็สามารถสร้างบาปได้มโหฬาร หากเรามุ่งแต่หวังเพื่อการสร้างกำไร โดยสิ้นไร้จริยธรรม
ผมระวังตัวเรื่องนี้เสมอครับ เพราะว่ามีคนเฝ้ามองอยู่หลายคน
ขณะนี้ประเทศไทยนับวันรออยู่ อื้อหือ ขนลุกครับ
สวัสดีครับคุณ
ใครๆก็มีความเครียดในวิถีทางของตนครับ เพียงแต่พวกผมเจอคนเจ็บป่วยมากกว่าเท่านั้นเองครับ
ความทุกข์เป็นเรื่องที่เจอบ่อยครับ เพราะเขาป่วย เขาจึงมาหาเรา ผมคิดว่าคุณธรรมเรื่อง อุเบกขา น่าจะช่วยให้พวกผมดำรงชีวิตได้โดยไม่ทำให้ตนเองต้องลงไปขลุกอยู่กับใจคนไข้มากจนเกินไป
เมื่อมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราต้องมีสติครับ
เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมเพียงแต่เป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้นเองครับ
สวัสดีครับ
เข้ามาอ่านบันทึกนี้อีกครั้งในเช้าของวันทำงาน และประทับใจทัศนะอันเป็นแง่งามของชีวิตเหล่านี้มาก
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับอ.
ความดีงาม ขอยกให้ พ่อแม่ครับ ต้นแบบตัวจริง