อยู่มาวันหนึ่ง ชายจีนที่ชื่อเจ็ง เกิดไปพบบ่อนพนันเข้า จึงตัดสินใจไปลองเสี่ยวโชดดูเผอิญโชคเข้าข้างเขาจึงได้เงินจากการเล่นการพนันมากพอสมควร เมื่อได้เงินแล้วเขาก็เอาไปซื้อเป็ดซื้อไก่มากิน เพราะอยากจะกินมานานแล้ว พอกินเสร็จก็เกิดนึกถึงเพื่อนอยากจะให้เพื่อนได้กินบ้าง เขาจึงซื้อเป็ดและไก่อย่างละตัวมาฝากเพื่อน พอตกตอนเย็นนายเฮงกลับมาถึง เห็นเป็ดและไก่แขวนอยู่ในห้องก็รู้สึกแปลกใจ จึงเอ่ยถามเพื่อนว่า
เฮง “นี่เจ็ง แกรู้ไหมว่าเป็ดและไก่ของใครมาแขวนอยู่ในห้องของข้า”
เจ็ง “อ๋อ ของข้าซื้อมาฝากแกเองแหละ”เฮง “ทำไม่แกถึงทำอย่างนี้ จำสัญญาของเราไม่ได้เสียแล้วหรือ?”เจ็ง “เฮ้ย ไม่ลืมหรอกน่า ข้ายังจำได้ดีเสมอ”เฮง “แล้วอย่างนั้น แกซื้อเป็ดซื้อไก่มาให้ข้ากินทำไม”เจ็ง “ก็ข้าอยากให้แกได้กิน แล้วอีกอย่างหนึ่งเงินที่ข้าซื้อมันมานี่ก็ไม่ใช่เงินจากการขายขวดสักหน่อยมันเป็นเงินลาภลอย ข้าไปรวยการพนันมาต่างหากเล่า” นายเฮงได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจมาก จึงตวาดว่า เฮง “แกมันคนไม่มีสัจจะ ไม่รักษาคำพูด ข้าไม่อยากคบกับแกอีกต่อไปแล้ว เราไปหาพระท่านขอแบ่งเงินกันดีกว่า แล้วแกก็เอาเป็ดเอาไก่แกคืนไปด้วยข้าไม่ต้องการมันหรอก” นับจากวันที่ทั้งสองคนได้แยกทางกันแล้ว นายเฮงก็ตั้งหน้าตั้งตาขายขวด ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เอาไปฝากพระไว้หมด จนในที่สุดด้วยความรอบคอบและมัธยัสถ์เขาก็ตั้งตัวได้และกลายเป็นเศรษฐ๊มีทรัพย์สมบัติมากมาย ทางราชการก็ได้ให้บรรดาศักดิ์ขั้นพระยาแก่เขา และเขาก็ได้สร้างกุศลด้วยการสร้างโรงทานไว้หน้าบ้านเพื่อบริจาคทานแก่คนยากคนจนโดยไม่เลือกหน้าฝ่ายนายเจ็งนั้น เมื่อแยกทางกับเพื่อนแล้วก็ประพฤติตนตามสบาย อยากจะซื้อหรือขายขวดก็ซื้อขายวันไหนขี้เกียจก็นอนอยู่เฉย ๆ อยากกินเป็ดกินไก่ก็ไปซื้อมากิน เมื่อไม่ค่อยทำงานและชอบกินแต่ของแพง ๆ เช่นนี้ เงินทองจึงไม่ค่อยพอใช้ ต้องไปขอหยิบยืมเพื่อนบ้านบ่อย ๆ จนในที่สุดชาวบ้านก็เอือมระอาไม่ให้ยืมเงินเมื่อไม่มีเงินไปซื้อเป็ดซื้อไก่กินเรี่ยวแรงของนายเจ็งก็ถดถอยลงประกอบกับความเกียจคร้านด้วย ในที่สุดก็ทำมาหากินไม่ไหว และกลายเป็นคนขอทานในที่สุด
วันหนึ่ง เขาได้เร่ร่อนขอทานไปจนถึงโรงทานของท่านเจ้าคุณเพื่อนเขาซึ่งบังเอิญท่านเจ้าคุณออกมาให้ทานเอง เห็นเพื่อนก็จำได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักพอให้ทานเสร็จจึงรีบเดินเข้าบ้านไปบอกลูกชายตามนายเจ็งไปพบ แล้วซักถามว่า
เจ้าคุณ “ขอทานอย่างนี้ลำบากไหม?” เจ็ง “ลำบากมากครับ บางวันก็มีกิน บางวันก็ไม่มีกิน แต่ส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยมีกินครับ” เจ้าคุณ “ถ้าอย่างนั้นแกมาอยู่กับข้าไหม ข้าจะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องเที่ยวไปขอทานอีก” เจ็ง “เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับ” เจ้าคุณ “เอาละถ้าแกตกลงฉันก็จะปลูกกระต๊อบให้แกอยู่ จะอยู่ได้ไหม” เจ็ง “อยู่อย่างไรก็อยู่ได้ครับ” เจ้าคุณ “งั้นแกจงฟังนะ สำหรับเรื่องอาหารการกิน ข้าจะให้ข้าวสารแกไว้หุงกินเอง ส่วนกับข้าวมีให้เพียงอย่างเดียวคือหัวปลาเค็มแห้งต้มกับใบมะขามโดยข้าจะมีใบมะขามให้แกรูด ๒ ต้น เป็นต้นเล็ก ๑ ต้น แล้วก็ต้นใหญ่อีก ๑ ต้น แกจะต้องรูดใบที่ต้นเล็กเสียก่อน พอหมดแล้วมาบอกข้า ข้าถึงจะอนุญาตให้รูดต้นใหญ่ส่วนข้าวสารกับหัวปลาเค็มถ้าหมดก็มาบอกได้ทันที แกจะปฏิบัติตามนี้ได้ไหม?” เจ็ง “ได้ขอรับ”
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา นายเจ็งก็อาศัยอยู่ในกระต๊อบที่ท่านเจ้าคุณปลูกให้ หุงหาอาหารการกินตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณ ข้าวสารหมด หัวปลาหมด ใบมะขามต้นเล็กหมด เขาก็ไปบอกท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็อนุญาตให้เขารูดใบมะขามจากต้นใหญ่ได้ ต่อมาในระยะหลัง ๆ เขาจะบอกแต่เรื่องข้าวสารกับหัวปลาหมดแต่ไม่เคยบอกเรื่องใบมะขามหมดเลย วันหนึ่งท่านเจ้าคุณจึงเรียกนายเจ็งไปถามว่า
เจ้าคุณ “นี่เจ็ง เวลาข้าวสารหมด หัวปลาหมด แกมาบอกฉัน แต่ทำไมเดี๋ยวนี้แกถึงไม่เคยมาบอกเรื่องใบมะขามหมดล่ะ” เจ็ง “มันไม่หมดครับ” เจ้าคุณ “ทำไม่ถึงเป็นอย่างนั้น ทีแต่ก่อนทำไม่มันหมดได้เล่า” เจ็ง “คืออย่างนี้ครับ แต่ก่อนผมรูดจากต้นเล็ก วันสองวันก็หมด แต่พอมารูดต้นที่ใหญ่ ๆ ใบมันเยอะรูดแถบนี้หมดก็ไปรูดแถบโน้น พอแถบโน้นหมด แถบนี้ก็แตกใบอ่อนเก็บได้พอดี วนเวียนกันอยู่อย่างนี้มันก็เลยไม่หมดสักทีครับ”เมื่อได้ฟังนายเจ็งอธิบายอย่างนี้ ท่านเจ้าคุณก็หัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดีแล้วถามว่า เจ้าคุณ “นี่นายเจ็ง แกจำข้าได้ไหม” เจ็ง “จำไม่ได้ครับ” เจ้าคุณ “จำข้าไม่ได้จริง ๆ หรือ?” เจ็ง “ไม่ได้จริง ๆ ครับ” เจ้าคุณ “ก็ข้านายเฮง เพื่อนขายขวดของแกยังไงล่ะ จำได้หรือยัง?” นายเจ็งแหงนหน้าขึ้นดูท่านเจ้าคุณอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ถึงกับน้ำตาร่วงก้มลงกราบที่เท้าของท่านเจ้าคุณ นายเจ็ง “ผมจำใต้เท้าได้แล้วครับ”
สำหรับข้า มันก็เหมือนมะขามต้นใหญ่ รูดเท่าไหร่ ๆ มันก็ไม่หมด เพราะมันมีมากเมื่อยังมีเงินน้อย ๆ ข้าไม่ใช้ รอให้มีมาก ๆ ข้าจึงให้เขากู้ เงินส่วนที่ข้าเอามาใช้ก็เป็นส่วนดอกเบี้ยที่เขาจ่ายเท่านั้น ส่วนเงินต้นทุนก็ยังคงอยู่ ข้าจึงใช้เท่าไร กินเท่าไรก็ไม่หมดไงล่ะ”
เจ้าคุณพูดยังไม่ทันจบ นายเจ็งก็เกิดความซาบซึ้ง ร้องไห้ก้มลงกราบแทบเท้าท่านเจ้าคุณ จนน้ำตาเปียกหลังเท้าท่านเจ้าคุณไปหมด เห็นดังนั้น ท่านเจ้าคุณจึงปลอบโยนและพานายเจ็งเข้าไปห้องพระ บอกให้ไหว้พระแล้วพาไปชี้ให้ดูวัตถุอย่างหนึ่งที่เก็บไว้อย่างดีในตู้กระจก
เจ้าคุณ “เอาละ จำข้าได้ก็ดีแล้ว แกไม่ต้องเสียใจอะไรหรอก ยังไง ๆ ข้าก็ไม่ทอดทิ้งแกแน่ แต่ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับแกในฐานะเพื่อนสักหน่อย ความจริงน่ะข้าจำแกได้ตั้งแต่วันที่แกมาขอทานวันแรกแล้วแต่ข้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเสียอย่างนั้นแหละ ข้าบอกให้ลูกชายของข้าเรียกแกเข้ามาหาแล้วก็ชวนแกอยู่ด้วยจะสอนให้แกได้รู้จักข้อคิดเกี่ยวกับความเป็นไปของแกกับข้า การที่ข้าให้แกกินข้าวกับหัวปลาเค็มต้มใส่ใบมะขามก็เป็นวิธีที่จะบอกให้แกได้รู้ความจริง การที่แกต้องตกระกำลำบากไปเป็นขอทานนั้น ก็เพราะทำตัวเป็นคนตามใจปากอยากจะกินอะไรก็กิน แต่ในเมื่อทุนรอนของแกมีน้อย มันก็เหมือนมะขามต้นเล็กถ้ารีบไปรูดใบกินเสียก่อนมันก็หมด เหมือนที่แกยังมีเงินยังไม่ถึง ๘๐ ชั่ง แต่ก็รับไปใช้จ่ายเสียก่อน มันก็หมดกันเท่านั้นแล้วต่อไปจะเอาอะไรใช้
เจ้าคุณ “แกดูไว้นะ นี่แหละไม้คานที่ข้าใช้หาบขวดขาย ช่วยให้ข้ามีเงินมีทองจนกระทั่งได้ดิบได้ดีอย่างที่เห็นทุกวันนี้ แม้ว่าเดี๋ยวนี้ข้าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้วแต่ข้าก็ยังไม่ลืมบุญคุณของมัน ข้าถึงได้เอามาลงรักปิดทองบูชาแล้วก็สอนให้ลูก ๆ ของข้าบูชาด้วย แล้วไม้คานของแกเอาไปไว้ที่ไหนเสียล่ะ”
นายเจ็ง “ลืมแล้วครับ ไม่ทราบว่าเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนตั้งแต่เมื่อไร”
ท่านเจ้าคุณ “เอาล่ะ ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้แกจงเอาเรื่องใบมะขามเป็นครูข้าจะให้เงินทุนและไม้คานแก่แกไปตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ตั้งตัวใหม่แกจะทำได้ไหม”
นายเจ็ง “ทำได้ครับ ผมจะไม่ลืมพระคุณของใต้เท้าเลย ลืมตาอ้าปากได้เมื่อไหร่ผมจะมากราบเท้าใต้เท้าเป็นคนแรกเลยครับ”
หลังจากนั้น นายเจ็งก็กลับเนื้อกลับตัว เพียรพยายามสร้างฐานะ จนในที่สุดก็ได้เป็นเศรษฐีในเวลาต่อมา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่ไม่เลือกงาน หรือดูถูกงานที่ตนทำอยู่นั้นเป็นงานที่ต่ำต้อย เมื่อพิจารณาเห็นว่างานนั้นเป็นสัมมาอาชีวะ ไม่ผิดศีลธรรมก็ควรตั้งใจทำอย่างไม่เกียจคร้าน ไม่เห็นแก่หลับนอน อย่างคนโบราณท่านสอนไว้ว่า ทรัพย์นั้นอยู่ใกล้ หาได้บ่ นาน แม้นใครขี้คร้าน บ่ พานพบเลย พุทธภาษิตประกอบเรื่อง อุฏฐาตา วินฺทเต ธนํคนหมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้
ไม่มีความเห็น