หังโจว – หมู่บ้านน้ำโจวจวง – พระใหญ่หลิงซาน – อู๋ซี วันนี้คณะของเราต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังเมืองอู๋ซี ซึ่งก็ไปถึงเอาเกือบจะเที่ยง โดยเมื่อไปถึงคณะทัวร์ของเราก็เดินทางไปเกาะหม่าเซิง ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบไทหู ซึ่งในปัจจุบันทางการของประเทศจีนได้ทำถนนเป็นสันเขื่อนสามารถเดินทางเข้ายังตัวเกาะได้สะดวก เมื่อเดินทางไปถึงที่เกาะก็ได้เวลาอาหารกลางวันซึ่งวันนี้พวกเราสามารถกินกันได้มากกว่าปกติ เพราะ ได้หลับนอนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญก็กำลังหิวด้วย ภัตตาคารที่รับประทานอาหารจะอยู่บริเวณเดียวกับสถานที่ที่เราจะเข้าชมต่อไป คือ พระใหญ่หลิงซาน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จทางทัวร์ก็ปล่อยคณะของเราเที่ยวชมและนมัสการพระใหญ่หลิงซานกันตามอัธยาศัย พระใหญ่หลิงซานนี้เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ขนาดความสูง 88 เมตร ตั้งอยู่บนเขาหลิงซาน
ซึ่งผู้เข้าชมและนมัสการจะต้องเดินเข้าไปสักเล็กน้อยแล้วก็ขึ้นบันไดไปอีก ก็เหนื่อยเอาการ
หลังจากนั้นเวลาประมาณ บ่ายสองโมงจะมีการแสดงที่เสาหินบริเวณลานด้านหน้า การแสดงจะเริ่มด้วย การแสดงของน้ำพุโดยรอบพุ่งขึ้นลงตามจังหวะดนตรี
และบริเวณโดยรอบเสาหินจะมีรูปปั้นเป็นรูปมังกร พ่นน้ำน้ำออกมา ซึ่งคนจีนจะถือว่าเป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ จะวิ่งเอาขวดไปลองน้ำมนต์กันอย่างเนื่องแน่น หลังจากนั้นดอกบัวบนยอกเสาก็จะค่อยเริ่มบาน เผยให้เห็นรูปปั้นของพระพุทธเจ้า ตอนประสูติ
จากนั้นรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ ก็จะพ่นน้ำไปที่รูปปั้นดังกล่าว ในขณะที่รูปปั้นก็จะหมุนไปโดยรอบจนครบหนึ่งรอบ ถือว่าเป็นการสรงน้ำ
หลังจากนั้นดอกบัวก็จะค่อยเริ่มหุบจนปิด ถือเป็นการสิ้นสุดรอบของการแสดง จากวัดพระใหญ่หลิงซานคณะของเราก็ออกเดินทางต่อไปเพื่อเข้าชมสวนของพระนางไซซี
ซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบอีกเช่นกัน เมื่อเข้าไปในสวนจุดแรกก็คือ กำแพงหินรูปร่างและขนาดต่างๆนำมาวางเรียงกันเป็นกำแพงและตบแต่งอย่างสวยงาม หลังจากนั้นคณะของเราก็เดินไปตามทางเดินซึ่งนำเราเข้าสู่ศาลาชมบัว ซึ่งจะองเห็นกำแพงหินรูป 12 นักษัตร (คือเอาหินก้อนๆรูปร่างแปลกมาวางเรียง เราต้องจินตนาการเอาเองว่าหินรูปไหน เป็นตัวอะไร)
จากนั้นก็เดินชมสวนธรรมชาติ ไปจนถึงทางเดินเลียบทะเลสาบ ซึ่งจะปลูกต้นท้อดอกและต้นหลิวสลับกันเรียงรายไปตลอดทาง
และจะต่อด้วยศาลาพักร้อน 4 ฤดู ซึ่งในแต่ละศาลาจะปลูกต้นไม้แตกต่างกันไปเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละฤดู และต้นไม้เหล่านี้ก็จะออกดอกตามฤดูกาล จากนั้นก็ไปชมต้นไม้ที่กำลังออกดอกสีขาวสวย ทางไกด์แนะนำว่าเป็นต้นจักกะจี้ คือเมื่อไปเกาที่ต้นใบไม้จะสั่นไหวได้เอง ออกจากสวนแล้วรายการต่อไปก็เป็นรายการชอบปิ้งอีกแล้ว ทางทัวร์นำคณะไปดูศูนย์เพาะเลี้ยงไข่มุก ในทะเลสาบไทหู ซึ่งเป็นไข่มุกน้ำจืด เลี้ยงในหอยรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งในหอยแต่ละตัวจะได้ไข่มุก 30 – 40 เม็ด เมื่อคณะเดินทางไปถึงก็จะถูกต้อนเข้ายังห้องบรรยาย เพื่อรับฟังวิธีการเลี้ยงหอยมุก และการดูไข่มุกที่ดีว่ามีลักษณะอย่างไร ซึ่งโดยสรุปก็คือ ไข่มุกที่ดีต้องมีลักษณะกลม เม็ดใหญ่ มีความมันวาว สำหรับไข่มุกแท้นั้น เมื่อนำมาถูกันต้องมีลักษณะที่สากไม่ลื่น หรือเมื่อนำไปถูกับกระจกต้องเกิดเป็นผง และไม่ว่าจะเป็นไข่มุกสีอะไรเมื่อถูกกับกระจกผงที่ได้ต้องเป็นผงสีขาว และที่สำคัญคือเม็ดไข่มุกที่นำมาถูกับกระจกก็ต้องไม่เสียหายด้วย (หากใครลองถูแล้วเสียหายก็ตัวใครตัวมันละครับ) หลังจากนั้นก็ปล่อยให้มีการเลือกซื้อสินค้ากันตามสบาย
หมู่บ้านน้ำโจวจวง
เข้าใจว่าหมู่บ้านน้ำโจวจวงนี้จะเป็นเขตอนุรักษ์ คือเป็นการอนุรักษ์บ้านเรือนให้คงสภาพเป็นบ้านเรือนโบราณเอาไว้ และหมู่บ้านแห่งนี้จะมีคูคลองต่างๆให้นั่งเรือชมสภาพภูมิทัศน์ของเมืองเก่าอันสวยงาม
จุดเด่นของหมู่บ้านนี้จะอยู่ที่ มีเรือรับจ้างให้นั่งท่องเที่ยวลงเรือชมความงามตามธรรมชาติของเมือง และที่สนุกสนานเพิมเติมขึ้นมาก็คือคนโล้เรือจะร้องเพลงขับกล่อมพวกเรา โดยเรามีส่วนร่วมในการตีไม้ให้จังหวะ(เมือนกับตีกรับบ้านเรา) สนุกสนานทั้งคนพายและคนนั่งโดยมีข้อแม้นิดเดียว เมื่อขึ้นจากเรือก็ขอให้ทิปให้คนโล้เรือบ้าง ห้าหยวนสิบหยวนตามความพึงพอใจ
นอกจากนี้บริเวณหมู่บ้านโจวจวงยังมีสินค้าพื้นเมือง ศิลปหัตถกรรม จำหน่ายให้กับผู้มาเยี่ยมชมกันอย่างเต็มที่ และที่เป็นสินค้าหลักๆก็เห็นจะเป็นขาหมูพะโล้ ซึ่งขายกันเกือบทุกร้าน และทางทัวร์ก็ได้จัดมื้อพิเศษให้พวกเราได้ทดสอบขาหมูพะโล้อันลือชื่อ ก็นับว่าเยี่ยมยอดครับรสชาดขาหมู แต่ขาดนิดเดียวไม่มีผักกาดดองมาวางเป็นของแกล้มและที่ขาดมากสำหรับคนไทยๆก็คือน้ำจิ้มไง แหมถ้าได้น้ำจิ้มเปรี้ยวมาวาง ผักกาดดอง พริกขี้หนู กะเทียมนะ ข้าวขาหมูบ้านเราได้อายแน่เลย
ไม่มีความเห็น