ส่วนใหญ่ วงโคจรในการนำเสนอบทความวิชาการและบรรยายของผม เท่าที่ผ่านมาจะเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสถาบันอุดมศึกษา และสถาบันวิจัยของรัฐเสียส่วนมาก. คือ เราทำงานในระดับท้องถิ่น ก็จริง แต่ต้องอิงกับหลักวิชาด้วย จะช่วยให้เรามีหลักยึด และเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของคนอื่นๆได้ โดยเฉพาะบทเรียนการพัฒนาในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ นี่หากเรารู้และสามารถนำมาปรับกับงานที่เรากำลังทำอยู่ ก็จะช่วยทุ่นแรงมหาศาลไม่ต้องเสียเวลา เสียงบประมาณไปทำผิดซ้ำรอยคนอื่น
“เวทีหอคอยงาช้าง” มันจึงยังประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่น ได้ในประเด็นนี้ คือ มองเห็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ ทำให้เราไม่สุดโต่งกับการเป็นพวกท้องถิ่นนิยม(Localism)หรือปฏิบัตินิยมจนเกินไป ทำให้เรารู้จักกรอบคิดทฤษฎีในแง่เป็นเครื่องมือในการทำงานได้อย่างหลากหลาย ด้านหนึ่ง มันช่วยให้เรามีกัลยาณมิตร ได้มองเห็นความสุข เศร้า เหงา เครียด ของการวิชาการ คือ มองว่าคนใน “หอคอยงาช้าง”ก็เป็นคนเหมือนกันกับเราๆท่าน
ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักในฐานะนักวิจัยที่ต้องร่วมงานกับคนหลายระดับเวลาไปเวทีงานวิจัย ที่มีปฏิบัติการหรือนักท้องถิ่นนิยมมากๆ ก็จะพูดเชิงดูหมิ่น หรือเกทับนักวิชาการ มหาวิทยาลัย ในขณะที่ พอผมไปเวทีงานวิจัยในงานวิทยาลัยบางครั้งก็พบว่ามีเกทับนักวิชาการท้องถิ่น
อยู่บนหอคอย สายตาก็จะมองเห็นภาพรวมของเมืองได้ เกิดเหตุร้ายเช่นไฟไหม้ รถชนกันขึ้นที่ไหน ก็มองเห็น แต่ถ้ามีผู้หญิงถูกทำร้ายในบ้าน อันนี้ก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง ต้องอาศัยคนที่อยู่พื้นล่าง ช่วยกันพังประตูเข้าไปช่วย
ส่วนตัวผมคิดว่า ทำอย่างไรเราจึงจะก้าวข้าม “หุบเหวแห่งการแบ่งแยก” ดังกล่าวร่วมกัน ทำอย่างไรเราจะใช้จุดดีของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็น นักวิชาการฟากหอคอยงาช้าง หรือนักวิชาการกระต๊อบไม้ไผ่ ทั้งสองล้วนมีจุดแข็งของตน และมีจุดร่วมในบางเรื่อง อย่างหนึ่งก็คือ ล้วนเป็นคนในสังคมประเทศเดียวกันลึกไปกว่านั้นคือ มีความเป็นมนุษย์ที่รู้สึกรู้สม ต้องการการยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
ผมคิดว่า สิ่งสำคัญมากกว่าการอยู่ที่สูงหรือที่ต่ำ นั่นก็คือ เรารู้ข้อจำกัดของมุมมองของเราหรือเปล่า เรามีวิธีคิดในการมองจากมุมของเราอย่างไร และศักยภาพของเราที่จะมองต่างมุมและเชื่อมโยงกับมุมมองต่างๆมีมากน้อยเพียงไร ทั้งนี้ รวมถึง มโนสำนึกที่เรามีต่อสิ่งที่เรามองด้วย
อยู่หอคอย แต่สายตาสั้น ซ้ำยังไม่อินังขังขอบจะช่วยเหลือใคร เทียบกับอยู่เหยียบดิน แต่สายตายาว รังเกียจกลิ่นหญ้ากลิ่นฟาง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มันก็ไร้ประโยชน์พอกันนะครับ
ตามมาอ่านตามประสาคนหัวอกเดียวกัน และคิดว่ามีนักวิชาการครึ่งๆกลางๆอย่างพวกเราอีกหลายคนที่ประสบปัญหาอย่างที่คุณยอดดอยว่า
ดิฉันยังเชื่อในความมุ่งมั่น และเชื่อว่าสิ่งที่พวกเราทำมาเป็นความพยายามลดช่องว่างบางประการ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมบ้างค่ะ
สวัสดีครับน้องยอดดอย
คุณยอดดอยครับ
อ่านแล้วประทับใจมากเลยครับ แม้จะเป็นเรื่องที่เรารู้กัน แต่ก็ไม่มีใครพูด จริงไหมครับ?
ผมว่าคนไทย (จากประสบการณ์ของผมเอง) ให้ความสำคัญกับปริญญามาก (เกินไป) และให้ความสำคัญกับประสบการณ์น้อย (เกินไป)
หุบเหว ที่คุณยอดดอยกล่าวถึงก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ ครับ ถ้าเราไม่เปลี่ยนทัศนคติ
อย่าว่าแต่หอคอยงาช้างหรือท้องถิ่นเลยครับ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนหลายๆ ท่านก็มีท่าทีไม่ดีกับอาจาย์ในมหาวิทยาลัยรัฐฯ และในทางตรงข้ามก็เช่นกัน
แล้วให้ตายเถอะครับ เรื่องที่เปลี่ยนยากที่สุดของคนก็เรื่องทัศนคติเนี่ยละครับ ทำอย่างไรดี? จะรณรงค์กันเหมือนอย่างกระทรวงวัฒนธรรมรณรงค์เรื่องกระโปรงสั้นดีไหม ผมเองตอบไ้ด้แต่ว่าต้องเริ่มจากตัวเอง และค่อยๆขยายไปสู่วงเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ก็ต้องทำอย่างไม่บังคับ เพราะทัศนคตินั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสียเหลือเกิน
สวัสดีครับ อาจารย์ปัทมาวดี พี่บางทราย และน้องแว้บ
z ผมแค่แวะมาแบบไม่ตั้งใจ
แต่ผมอ่านแล้ว ประทับใจ ขอให้ สู้ต่อไปครับ C<<