เราต้องเรียนรู้ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ต้องใฝ่รู้ใฝ่เรียน เพื่อปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลง คือ การเข้าสู่ LO เพราะคุณภาพเปลี่ยนทุกวัน การทำให้คนในองค์กรเรียนรู้ได้อย่างดี และปรับให้เข้ากับ Core Competency ได้ ต้องใช้ KM เข้ามาช่วย เมื่อไรก็ตามที่เรามีการเรียนรู้ให้ตรงกับภารกิจหลักขององค์กร จะทำให้องค์กรมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมาย
การที่เราจะไปสู่ LO ได้ ต้องทำให้องค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต คือ คิดเป็น รักเป็น (หัวใจใฝ่ความดี สนใจคนในองค์กรด้วยกัน ใจดวงเดียวกัน) ทำเป็น
KM จึงเข้ามา เพราะกระแสสังคมพัดเข้ามา การที่เราเตรียมความพร้อมไว้ก่อน จะได้เปรียบ
KM คือ การจัดการกับความรู้ ถ้าจะจัดการความรู้ เราต้องรู้เรื่องการจัดการ ต้องมีปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- การวางแผนที่ดี
- การจัดสรรทรัพยากร
- การกระตุ้นจูงใจ
- การติดตาม ปรับปรุง
KM เป็นสิ่งที่เกาะติดกับกระบวนการเรียนรู้ แต่ไม่ใช่ Education ซึ่ง Education เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ แต่ถ้าไม่ลงมือปฎิบัติ ก็ไม่ใช่ KM ที่แท้จริง KM เป็นเรื่องของคนปฏิบัติ คือ คนที่ทำมาก แล้วนำมาเผยแพร่
นอกจากความรู้จะมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ความรู้ที่ถูกเขียนเป็นตัวอักษร คือ EK. (ความรู้ชัดแจ้ง / ฝังรูป) และความรู้ที่อยู่ในตัวคนทำงานทุกคน คือ TK. (ความรู้ฝังลึก / ฝังหัว) แล้ว ยังมีความรู้อีก ๕ ชนิด คือ
๑. ARtefact เป็นวัตถุซึ่งห่อหุ้มความรู้และเทคโนโลยีไว้
๒. Skill เป็นทักษะในการปฏิบัติงานหรือทำงานจนเกิดเป็นทักษะ
๓. Heuristics เป็นกฎแห่งสามัญสำนึกหรือเหตุผลพื้นฐานทั่วๆ ไป
๔. Experiences เป็นประสบการณ์จากการได้ผ่านงานนั้นมาก่อน
๕. Natural Talent เป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิด
เราอาจจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แต่เมื่อบันทึกแล้ว กลายเป็นความรู้ในตำรา เป็นเพราะเราเข้าไม่ถึง Tacit Knowledge คนที่มี Tacit Knowledge ก็ไม่กล้านำออกมา เพราะกลัว ไม่กล้า อาย
ความรู้ โดยเฉพาะ Tacit Knowledge เป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของการทำงาน
Tacit Knowledge เกี่ยวข้องกับ คนและกระบวนการ ในการดึงออกมา
เป้าหมายของ KM ไม่ได้อยู่ที่ Assets แต่ต้องนำสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือ Tacit Knowledge ไปใช้เพื่อปรับวิธีการทำงาน ให้ดีขึ้น
KM เป็นการถอดความรู้จากความสำเร็จ
KM เป็นเวทีระบายสุข
KM เป็นเหมือนน้ำ อยู่ที่โรงพยาบาลบ้านตากก็เป็นแบบบ้านตาก คือ ต้องดูบริบทด้วย อย่าเอา KM หรือ น้ำ ไปแช่ช่องฟรีซ มันจะแข็ง ต้องอย่าไปยึดติดรูปแบบ รู้จักปรับให้เป็นน้ำ ไร้รูปแบบแต่ไม่ไร้หลักการ
คนเราถ้าเกิดทุกข์การเรียนรู้จะไม่เกิด
KM ต้องการบรรยากาศที่สบายและผ่อนคลาย
เมื่อไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน สิ่งที่จะบอกเราได้ว่า เราทำถูกทางหรือไม่ ให้ดูที่ผลลัพธ์ว่า
๑. งานดีขึ้นหรือไม่
๒. คนดีขึ้นหรือไม่ มีความสัมพันธ์ มีความสุข สอนเก่งขึ้นหรือไม่ มีความสุขและรักองค์กรมากขึ้นหรือไม่
๓. มีนวัตกรรมการทำงานเกิดขึ้นหรือไม่
KM ต้องทำให้คนมาเจอกัน คนหลากหลายเทคนิคหลายทักษะมาทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรร ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน เพราะจะเห็นความสร้างสรรค์หลากหลาย ร่วมกันสร้างวิธีการทำงานใหม่ๆ ขึ้นมา และนำไปปฏิบัติ แล้วจะเกิดปัญญา อย่าเป็นกบในกะลา ต้องรู้จักการนำเข้าความรู้จากภายนอกที่เหมาะสมมาใช้ เราชอบดูตำรา แต่ไม่ชอบดูความรู้ในคน
KM เป็นเรื่องที่คนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อสร้างวิธีการทำงานที่ดีขึ้น
KM เหมือนต้นข้าว LO เหมือนนาข้าว เราต้องทำไปพร้อมๆ กัน
KM มีกฎสำคัญ ๓ ข้อ
๑. สมัครใจ ต้องจูงใจให้อยากทำ
๒. รู้ว่าคนทุกคนเรียนรู้ก็ต่อเมื่อต้องการใช้
๓. ทุกคนรู้มากกว่าที่พูดได้เขียนได้
ที่สำคัญ KM เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีการจัดการความรักในองค์กร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
สวัสดีค่ะคุณนภินทร