ครอบครัวผมมาเยี่ยมครับ


ไม่มีประโยคเด่น เพราะการพบครอบครัวนั้นมันเด่นอยู่แล้ว

วันที่ 30 กรกฎาคม 2550

วันนี้เป็นวันจันทร์ วันแรกของสัปดาห์ที่ 13 ของการใช้ชีวิต fellow ที่สิงคโปร์ นับไปก็เหลืออีก 107 วันก็จะได้กลับบ้านแล้ว

                สัปดาห์ก่อนผมจบบันทึกวันสุดท้ายคือวันพุธ ทั้งนี้เนื่องจากวันพฤหัสบดีนั้นเหนื่อยจนไม่สามารถทำอะไรได้อีกเมื่อกลับถึงที่พัก และวันศุกร์ลูกและเมียมาเที่ยวที่สิงคโปร์ เลยไม่ได้เขียนบันทึกอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

                เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ครูหาญไปเป็นวิทยากรที่อีโป ประเทศมาเลเซีย ผมเลยไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัดตอนบ่าย แต่หงุดหงิดตั้งแต่หัวรุ่ง ทั้งนี้เพราะว่าคุณอาร์ลีนเธอโทรศัพท์มาหาผมตั้งแต่ 6.20 น. เพื่อที่จะบอกว่า เธอจะไม่มาทำงานครึ่งวันเช้า เพราะว่ามีนัดกับหมอที่โรงพยาบาล TTSH เรื่องปวดเอวเรื่องเดิม ไอ้ผมก็เซ็งสุดขีด เพราะว่ากำลังหลับสบาย อันที่จริงเธอจะมาหรือไม่มาก็ไม่กระทบผมเลย เนื่องจากผมแทบจะทำงานคนเดียวอยู่แล้วในช่วงนี้ ยิ่งตอนนี้ดันดีไม่อยู่ด้วยอีก เหนื่อยจนชิน แต่ก็สบายใจดีอยู่ ไม่น่าโทรมาเลย

                ตอนบ่ายเป็นช่วงเวลาที่ผมตั้งใจจะไปเก็บข้อมูลวิจัยให้ได้มากที่สุด และก็เป็นจริงดังว่า เพราะว่าคุณป้าไวรัสเธอเตรียมแฟ้มเวชระเบียนไว้ให้ผมหลายวันแล้ว วางไว้เต็มชั้นเลยครับ เห็นแล้วก็ท้อใจเล็กน้อย เมื่อเก็บข้อมูลไปได้ระยะหนึ่งป้าแกก็เข้ามาสำรวจตามปกติ เมื่อพบว่าผมกำลังทำงานแกก็ดูพอใจ จริงๆแล้ววันนี้เป็นวันที่เขาจะตรวจเวชระเบียนกันครั้งใหญ่ จึงไม่อยากให้หมอเข้าไปยุ่ง แต่เนื่องจากผมเครดิตดี เธอเลยยอมให้เข้าไป ผมทำงานอยู่พักใหญ่เธอก็เข้ามาอีก คราวนี้หอบเวชระเบียนมาให้อีกหอบใหญ่ บอกว่าสำหรับวันจันทร์หน้า งานนี้เล่นเอาผมอ่อนใจมากขึ้นอีก เพราะว่ามันมากกว่าเดิม เลยตั้งใจไว้ว่า วันนี้ไม่เสร็จไม่กลับบ้าน (จริงหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที ตั้งใจจริงไว้ก่อน)

                เวลาผ่านไปนานมาก จาก 2 โมง ก็ล่วงมา 6 โมงเย็น ออกไปพักผ่อนอิริยาบถเล็กน้อย ไปดูคนไข้ของครูลีที่จะต้องผ่าตัดในวันศุกร์ จากนั้นก็กินข้าวเย็น ปลอบใจตัวเองด้วยขนมหวานอีก 1 ถ้วย (ปกติไม่ค่อยกิน เพราะว่ามันแพง) แล้วลงไปทำงานต่อ ล่วงเลยมาจนถึง 2 ทุ่มเลยไป 10 นาทีจึงสามารถแล้วเสร็จ (ยังไม่เสร็จทั้งหมด เพราะว่าผมมีคนไข้ต้องเก็บข้อมูลมากถึงกว่า 900 คน) กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบ 3 ทุ่ม หลับเป็นตาย

                เช้าวันศุกร์ผมช่วยครูลีผ่าตัดจนถึงเที่ยง วันนี้การผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจในฝีมือของตัวเองพอสมควร ผ่าไปคุยกับครูไปสนุกดี จนถึงเวลาบ่าย 2 โมงจึงออกไปคลินิกเพื่ออยู่กับครูรอย

                วันนี้ครูรอยพก notebook มาด้วย เราเลยตบท้ายกันดัวยสไลด์ภาพการผ่าตัดสวยๆของครู ดูวิธีการผ่าตัดแบบต่างๆ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาก นี่แหละครับครูรอยของผม ช่างสอนครับ

                เวลา 5 โมงครึ่ง จิ๋มก็โทรเข้ามา บอกว่าตอนนี้ถึงสนามบินแล้ว กำลังเดินทางเข้ามาในเมือง ผมจองรถตู้ไว้ให้ 1 คันเพื่อไปรับลูกเมียและเพื่อนๆ เมื่อเลิกจากครูผมก็จ้ำไปขึ้นรถเมล์หมายเลข 166 ตรงไปยังโรงแรม Peninsula ทันที ครอบครัวผมเดินทางมาพร้อมเพื่อนของภรรยาครับ นี่เป็นแผนการของผมที่วางเอาไว้นานแล้ว (เจ้าเล่ห์มาก) เนื่องจากว่าจิ๋มยังไม่เคยเดินทางไปนอกประเทศแบบนี้มาก่อน ยกเว้นพม่าและมาเลเซีย อีกทั้งต้องเดินทางพร้อมลูกเล็กๆอีก 2 คนนี่ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ เลยให้จิ๋มชวนเพื่อนให้มาเที่ยวด้วยกันเลย ชวน แอน อ้อ แซม หนึ่ง(และครอบครัว) และสายันต์ ปรากฏว่าทุกคนยินดี ผมเลยจองตั๋วเครื่องบินตราเสือให้ ติดต่อคุณอุ๊เพื่อให้จัดทัวร์ให้ ทุกอย่างจัดการไว้เสร็จสรรพ (แต่ไม่ได้ไปตามทัวร์ที่คุณอุ๊เคยส่งมาให้ เพราะท้ายที่สุดเราเที่ยวกันเอง) เพื่อนๆก็ช่วยดูแลลูกเมียให้เป็นอย่างดี ได้ข่าวว่าคุณจ้าสนุกใหญ่ เพิ่งมาหลับก่อนเครื่องลงประมาณ 20 นาที แอนกับอ้อก็ผลัดกันช่วยอุ้ม เห็นไหมครับ ผมมีปิยมิตรทั้งนั้น

                แว๊บแรกที่เจอลูกและเมียแสนดีใจ พี่แป้งวิ่งโผมากอดพ่อ ยิ่งไอ้ตัวเล็กนี่ยิ้มจนไม่รู้ว่าแก้มจะปริหรือไม่ ดีใจจนสุดตัว เราจัดการเรื่องห้องพักเสร็จเรียบร้อยก็ไปรวมกันที่ห้องของหนึ่งและตั๊กแตน เพราะบ้านนี้เขาเตรียมข้าวเย็นมาสำหรับเด็กๆ นับว่าเป็นอุบายที่แยบยลมาก เพราะบรรดาเหล่าคนตัวเล็กทั้งหลายกำลังหิวพอดี เมื่อเด็กๆอิ่มเราจึงออกเดินทางด้วยเท้าไปยัง Boat Quay ทันที มันอยู่ใกล้โรงแรมมาก เดินชมวิวไปแป๊บเดียวก็ถึง คืนแรกนี้เราสั่งอาหารกินริมแม่น้ำสิงคโปร์ครับ รายการอาหารก็มีของขึ้นชื่อรวมอยู่ด้วย นั่นก็คือ ปูผัดพริกไทยดำ 1 ตัวและปูผัดพริก 1 ตัว พี่แป้งซึ่งปกติไม่ชอบกินอาหารทะเล งานนี้กินปูผัดพริกไทยดำไปหลายตัว อย่างหนึ่งที่ทำให้เธอกินได้ก็เพราะว่าได้ลองปอกปูด้วยคีมที่เขาเตรียมให้และได้เล่นล้างมือกับน้ำมะนาว สนุกดี เธอเล่นล้างงซะจนน้ำใสๆกลายเป็นชามะนาวไปเลย

                คืนแรกนี้คุณจ้าละเมอบ่อยมาก สงสัยเป็นเพราะว่าผิดที่ผิดทาง และกำลังเป็นหวัดอยู่ คัดจมูกเล็กน้อย ผมก็นอนไม่หลับไปกับเธอด้วย เช้าวันเสาร์เป็นวันที่ผมนัดกับอาร์เธอไว้ว่าจะไป round 7 โมงเช้า จึงต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง (เพิ่งได้เริ่มหลับเอง) อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็จับรถเมล์สายเดิมไปโรงพยาบาล กว่าจะ round เสร็จก็ 8 โมงครึ่งพอดี กลับมาทันกินข้าวเช้าพร้อมลูกและเมีย

                เช้าวันเสาร์เราวางแผนจะไปเที่ยวที่ Snow city ตามคำร้องขอของพี่แป้งและน้องเหนือ (ลูกสาวของหนึ่ง) แต่ดูท่าท้องฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจนัก เพราะครึ้มๆตั้งแต่หัวรุ่งแล้ว ทีมเรายกโขยงไปยังสถานีรถไฟฟ้า City hall และนั่งตรงไปยังสถานี Jurong East จับรถเมล์ไปยัง Snow city ทันที แต่อนิจจาเมื่อมาถึง เราก็พบว่าเขามีบริษัทหนึ่งจองเวลาไว้ทั้งครึ่งเช้า กว่าจะได้เข้าก็ 2 โมงไปนู่น ผมเลยตัดสินใจพาทุกคนเดินเท้าไปยัง Science center ซึ่งอยู่ติดกัน ที่นี่มีลักษณะคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพนั่นแหละครับ เพียงแต่ของที่นี่ใหญ่กว่า มีของให้ดูให้เล่นมากกว่า และทุกอย่างบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แป้งกับเหนือดูสนุกมาก เธอไม่เข้าใจหรอกเพียงแต่เล่น กดปุ่มนู่นปุ่มนี่แล้วดูว่าอะไรเกิดขึ้น ส่วนคุณจ้าไม่ยอมเข้า เพราะช่วงนี้เธอกลัวความมืดและที่แคบ (เหมือนเจ้าแป้งเป็นที่สุด เมื่อตอนอายุเธอเท่ากัน)

                เราออกจาก Science center ราวบ่าย 2 โมงครึ่ง ก็ได้ฤกษ์ฝนตกพรำๆ เราเลือกที่จะเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า เพราะว่าอยู่ใกล้นิดเดียว ถึงตอนนี้เราจัดการซื้อตั๋ว Eazy link กันทุกคน เพราะว่าคงเดินทางด้วยรถอีกหลายรอบ บ่ายนี้ผมนัดกับคุณอุ๊ไว้ว่าจะไปเที่ยวเกาะ Sentosa โดยคุณอุ๊อาสาพาไปด้วยตั๋วราคาทัวร์ซึ่งถูกมาก จากใบละเกือบ 60 เหรียญ ลดลงมาเหลือ 30 เหรียญเท่านั้น เราไปพบกันที่ Habour front ถึงตอนนี้เจ้าจ้าหลับเป็นตายบนไหล่ผม ส่วนหนึ่งก็ดีเป็นที่สุดเพราะจะได้ไม่ต้องโวยวายเมื่อขึ้นรถไฟฟ้า

                เราข้ามไปยังเกาะ Sentosa ด้วยกระเช้าลอยฟ้าครับ ตื่นเต้นในความสูงลอย พี่แป้งชอบมาก คุณจ้ารู้สึกเฉยๆ เพราะว่ากำลังฝันอยู่ เมื่อถึงเกาะคุณอุ๊ก็พาไปดูหนัง 4 มิติเรื่องเกาะโจรสลัด ไม่รู้ว่าน่าดูแค่ไหน แต่คนรอคิวกันแถวยาวจริงๆ ผมรู้สึกเมื่อยบ่าและสะเอวเพิ่มเป็นทวีคูณเพราะว่าอุ้มคุณจ้าอยู่ และไม่อยากให้เธอตื่น แต่แน่นอนล่ะครับ ในเมื่อเสียงกระหึ่มโรง เก้าอี้สะเทือนตามจังหวะของหนัง มีเป่าลมพ่นน้ำ จะไปเหลือเหรอครับ เธอตื่นและร้องไห้โวยวายเกือบตลอดเวลา เกรงใจคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหน เฮ้อ...ดีที่มันนานราว 10 นาทีเท่านั้นเอง

                ออกมาจากโรงหนัง คุณอุ๊ก็พาไปยังสถานีเล่น LUGE ซึ่งเป็นเครื่องเล่นคล้ายรถชาวเขา ให้มันไหลลงมาจากเขา เราบังคับการเลี้ยวและการเบรกให้ดี จ้าขึ้นไม่ได้ เลยให้คุณแม่เธออุ้ม ส่วนพ่อและพี่สาวก็ลงมือปฏิบัติการณ์ พี่แป้งนั่งกับผม เธอสนุกมาก วิวดี ตื่นเต้นหวาดเสียว เราไม่ได้ซิ่งเหมือนคนอื่น เพราะกลัวตายครับ เมื่อลงไปถึงปลายทางก็ขึ้นกระเช้ากลับไปที่เดิม งานนี้ผมถึงกับขาสั่น เพราะว่ามันทั้งสูง ทั้งโล่ง ก็เล่นเอาขาห้อยลงมานี่นา นึกสภาพเปลสิครับ นั่นแหละ เรานั่งแล้วมันก็พาเราขึ้นเขา ใครเคยไปเล่นสกีที่ยุโรปคงนึกภาพออก (ผมไม่เคยครับ) คนที่สนุกก็คือคุณแป้ง จากนั้นเราไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สิงคโปร์ งานนี้ไม่สามารถเขียนเล่าได้ เพราะว่าต้องดูแลคุณจ้าอยู่ข้างนอก เนื่องจากภายในนั้นมันมืดๆ เธอจึงโวยวายอีกรอบ คุณแป้งเลยเข้าไปกับแม่เธอแทน เป็นที่น่าสังเกตว่า เขาให้ความสำคัญมากกับการแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านทางพิพิธภัณฑ์ ที่สิงคโปร์มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งมาก ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ เราจะเจริญไปได้อย่างไร หากเราไม่สนใจหรือหลงลืมอดีตไปซะแล้ว

                เราจบการเที่ยวที่ Sentosa ด้วยอาหารมื้อค่ำที่ร้านอาหารบนเกาะที่คุณอุ๊จองให้ อยากจะแนะนำว่า หากเป็นไปได้อย่าใช้บริการ เพราะว่าราคาแพง หัวละ 10 เหรียญทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รสชาติให้ 3 คะแนนเต็ม 10 คงไม่ต้องขยายความนะครับ

                เราออกจากเกาะด้วยรถไฟฟ้า monorail ซึ่งต้องรอคิวนานพอสมควร ไปลงที่ห้าง Vivo city ครับ เพื่อนๆของผมต้องการเดินเที่ยวกันต่อ ส่วนครอบครัวผมของลาไปก่อน เหนื่อยเหลือหลาย ลูกสาวทั้ง 2 คนต้องการพักผ่อนแล้ว คืนนี้คุณจ้าหลับบายครับ เช่นเดียวกับพี่แป้ง หลับสนิทบนแขนพ่อเลย (แบบว่า กลางวันให้ตัวเล็กอยู่บนแขน เพราะต้องอุ้ม กลางคืนเป็นคิวของตัวใหญ่ ให้นอนหนุน)

                เช้าวันอาทิตย์ ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการแขนซ้ายระบมไปหมด ปวดขาหนีบทั้ง 2 ข้างร้าวไปจนถึงสะเอว เรียกว่าอ่อนซ้อมครับ วันนี้ครอบครัวเราวางแผนไปเที่ยวสวนนกจูร่งครับ คนอื่นไม่ไป เพราะเขาจะไปเดินหาซื้อของกัน บ้านผมไม่นิยมการซื้อของครับ เสียดายกะตังค์ เราจับรถไฟฟ้าไปเส้นทางเดิมครับ เพียงแต่ว่าไปลงที่สุดปลายทางสถานี Boonlay จากนั้นก็จะมีรถเมล์วิ่งตรงไปยัง Jurong Birdpark ครับ คุณอุ๊เตรียมบัตรเข้าชมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว วันนี้พระพิรุณยังคงทักทายเราเหมือนเคย แต่ไม่เป็นไร เรามีร่ม กางบ้างไม่กางบ้าง ลูกสาวทั้ง 2 คนชอบมาก พี่แป้งชอบดูอินทรีย์และแร้งมากที่สุด เราได้เดินเข้าไปในสวนน้ำตกที่เขาจัดได้ใหญ่โตมาก มีนกมากมายหลายชนิด มันเยอะเสียจนละลานตาและตื่นใจ เรายังได้เข้าไปในสวนนกแก้ว ที่เขาให้เราป้อนอาหารด้วย งานนี้คุณจ้าหัวเราะร่วนเพราะว่ายื่นมือไปให้นกจิกเล่นด้วย ในสวนนกเขายังมีรถ monorail (ที่ติดป้ายการบินไทยทุกคัน) บริการพาเที่ยวภายในสวนนกครับ ใครขี้เกียจเดินก็สามารถใช้บริการได้เลย เราจบรายการเที่ยวที่นี่ด้วยอาหารเที่ยงของสวนนก คุณภาพเยี่ยมราคาสูงครับ ที่นี่คุณจ้าอึครับ แต่ว่าเธอต้องเบ่งนานและร้องไห้ด้วย คงเป็นเพราะก้อนแข็ง เลยบาดก้นครับ ช่วงนี้เธอกินน้ำน้อยมาก สงสัยเจ็บคอ

                ออกจากสวนนก ผมพาครอบครัวเลยไปยัง Little India เพื่อจะไปดูที่ห้องของผม ปรากฏว่าคุณจ้าเธอกลัวเทด สงสัยเป็นคนแปลกหน้าหัวล้าน เธอจึงกลัว ร้องไห้ตลอด แม้ว่าเข้าห้องแล้วก็ยังไม่อยากอยู่ ส่วนพี่แป้งไม่มีปัญหา กิน M&M ที่พ่อซื้อเก็บเอาไว้แล้วประเดิมห้องด้วยการอึ เราอยู่ได้ไม่นานเพราะว่าจ้าไม่ยอม ผมจึงพาลงไปและเดินไปที่ Bugis เพื่อที่จะซื้อ VCD เรื่อง Barney ให้ลูกสาว จากนั้นก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนอิริยาบถ ก่อนที่จะพากันเดินจากโรงแรมไปยังตึกทุเรียน เราไปทันเพื่อนๆพอดีครับ เลยได้ถ่ายรูปร่วมกัน กินไอติมที่คนไทยขาย เดินไปดูสิงเตื๊อก และออกไปยัง Boat Quay เย็นนี้สายันต์จะกลับเมืองไทยก่อน เราจึงไปกินมื้อเย็นกันที่ร้าน Jumbo ที่ผมเคยมากินกับพี่วิภรณ์ อร่อยเหาะเหมือนเดิมครับ ตอนเดินกลับผมแวะซื้อสตรอเบอร์รี่ให้สาวๆกินกัน ถูกใจทั้งคู่ (แต่พ่อปวดใจครับ เพราะว่ามันแพง เนื่องจากลงไปซื้อจาก Cold Storage ครับ)

                คืนวันอาทิตย์นี้ น้องจ้านอนไม่หลับ เพราะว่าคัดจมูกและไข้ขึ้น ผมกับจิ๋มต้องตื่นตลอด (แต่ส่วนมากเป็นจิ๋มที่ต้องตื่นครับ) แต่ไม่น่าเชื่อ เช้าขึ้นมาเธอร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน ผมบอกลูกคนเล็กว่าวันนี้ต้องกลับกันแล้ว และพ่อตัดสินใจว่าวันเสาร์หน้าพ่อจะกลับบ้านด้วย เธอตอบว่า เคค่ะ เอาเข้าไปคุณลูก

                วันจันทร์นี้ผมลางานครึ่งวันเช้า ครูหาญไม่ว่ากระไร เพราะผมอยู่ห้องยูโรพลศาสตร์ ว่างอยู่แล้ว ผมกลับมาทำงานช่วงบ่าย ดันดีกลับมาจากออสเตรเลียแล้ว คุยกันพอหอมปากหอมคอ

                วันนี้ก็จบลงด้วยดีครับ ผมซักผ้าปูที่นอน รีดเสื้ออีก 4 ตัวเพื่อให้พอใส่ตลอดสัปดาห์ ตัวที่เหลือจะพากลับบ้านครับ บางตัวต้องซักใหม่ เพราะว่าซักที่นี่แล้วยังไม่สะอาดเลย ที่คอยังเป็นคราบอยู่ แบบว่าขี้ไคลเยอะจริงๆแฮะ สกปรกจริงๆ
หมายเลขบันทึก: 115874เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2007 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีค่ะ

อ่านเพลินมากค่ะ

คิดถึงอะไร ไม่เท่าคิดถึงลูกนะ สุดๆ เพราะเขายังเล็ก

แต่คุณหมอคงคิดถึงเท่าๆกันทั้ง3คนเนอะ

เป็นวันหยุดที่สุขสันต์ค่ะ

ดีใจด้วยค่ะ

เข้าใจความรู้สึกค่ะ เคยเป็นมาก่อนค่ะ

อบอุ่นไปกับ อาจารย์ ด้วยค่ะ เที่ยวตอนลูกเล็ก ทุกคน จะไปได้ และสนุกมากด้วย

อาจารย์ อย่าลืมถ่ายรูป เอาไว้ดูนะคะ

ลูกๆ เขาโตเร็วมากเลย ให้เวลาคุณภาพเต็มที่กับครอบครัวแบบอาจารย์ ถือว่ายอดเยี่ยม

แล้วเอารูปมาโชว์ บ้างก็ดีนะคะ อยากเห็น

 

สวัสดีครับคุณ P

คิดถึงเท่ากันทั้ง 3 คนครับ จนทุกวันนี้ก็ยังคงบอกรักเธออยู่บ่อยๆ เคยถามเหมือนกันว่าเฝือมั้ย เธอบอกว่าชอบ ก็เลยยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมา

ลูกเป็นเหมือนแก้วตา เมียเป็นเสมือนดวงใจครับ ไม่เคยอายใครเลยที่จะบอกว่ารักพวกเธอทั้ง 3 คน

อาจารย์ P ครับ

ถ่ายรูปไว้เยอะมากครับ แต่เนื่องจากผมใช้ Window Vista โปรแกรมที่ใช้สำหรับจัดการรูปมันยังไม่ได้เรื่องเลย (หรือว่าผมทำไม่เป็นนะ) เลยไม่ได้ใส่รูปลงมา

ผมบอกพี่แป้งไว้ว่า เมื่อผมเรียนจบ จะให้เธอมาช่วยจัดของที่ห้องเพื่อขนกลับบ้าน ประเภทว่านอน 1 คืนครับ บอกว่าไปทำงาน แล้วจะพาไป snow city เป็นการตอบแทน ย้ำนะครับว่ามาทำงาน ฮ่า ฮ่า

ผมกลับมาแล้ว อาจารย์แป๊ะ

นึกว่าอ่านหนังสือท่องเที่ยวเลย เพลินดี 

Welcome home ครับอาจารย์Pที่เคารพของกระผม

เป็นยังไงครับ สุขภาพหลังถูกฟ้าผ่า สบายดีนะครับ

เมื่อไหร่อาจารย์จะไปสิงคโปร์อีกครับ คราวนี้ผมจะบริการอาจารย์เอง ฮ่า ฮ่า (หัวเราะดังอย่างนี้ แสดงว่าสบายใจครับ)

อืมม.. จนลง แต่สุขภาพดีขึ้น

ตกเย็น ได้ออกวิ่ง..ล่อฟ้า ในสวนยางแถวบ้าน

จะไปสิงคโปร์ต้นเดือนตุลา กะจะนอนโรงแรมเดิม แล้วจะแวะไปล้มทับ ถ้ายังอยู่

มีข่าวมาบอกว่า มีคนเอารูปนายลงสารศิษย์เก่า        ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะที่ดังกว่า 

ดีใจอย่างแรงที่อาจารย์จะมาอีก เอาเป็นว่าอาจจะไปนอนด้วย ฮ่า ฮ่า

จะอยู่กี่วันครับ ถึงวันไหนกี่โมง แจ้งมานะครับ จะไปรับที่สนามบิน

อ่านแล้วเพลินดีค่ะ ดูเป็นแฟมิลี่แมนจังคะ

ผู้ชายแบบนี้ยังมีเหลืออีกบ้างรึเปล่าค่ะ

ดูเป็นคนรักครอบครัวจัง น่ารักดีค่ะ

สวัสดีครับ คุณปุ๊ก

ไม่แฟมิล่ง แฟมิลี่อะไรหรอกครับ

ใครเป็นพ่อก็รู้สึกแบบนี้ทั้งนั้นแหละครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท