หลังจากที่ผมได้ไปทบทวนวรรณกรรมใหม่เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรแบบประณีตใหม่ก็พบว่า....การทำเกษตรกรรมแบบประณีตเป็นวิถีการทำการการเกษตร เพื่อมุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ในการประกอบอาชีพ เพื่อความอยู่รอดอย่างมีความสุข ผมจึงใคร่ขอสรุปเพื่อความเข้าใจดังนี้ครับ....
เกษตรกรรมแบบประณีต 1 ไร่ (Praneet Agriculture) เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำเกษตรผสมผสาน (Integrated Agriculture) ที่เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน และพหุภาคีภาคอีสานดำเนินการ เพื่อหาคำตอบให้กับเกษตรกรที่ยังติดยึดกับกรอบความคิดว่าในการทำเกษตรผสมผสานนั้นจะต้องมีที่ดินมาก ลงทุนมาก และแรงงานมาก เป็นการผลิตทั้งพืช และสัตว์ร่วมกันให้มีความหลากหลาย เพื่อประโยชน์ในการเกื้อกูลต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นาอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุด มีความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเกิดการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติด้วยโดยมุ่งเป้าหมายไปที่การประสานเกื้อกูลกันระหว่างพืชและสัตว์ เศษซากและผลพลอยได้จากการปลูกพืชจะเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ และในทางตรงกันข้าม ผลที่ได้จากการเลี้ยงสัตว์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อพืชด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเกษตรผสมผสานที่ถูกย่อส่วนลงมาให้อยู่ในพื้นที่จำกัด สำหรับเป็นการศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดทั้งการสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นของการปฏิบัติ ที่เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน และพหุภาคีภาคอีสานพยายามที่จะผลักดัน และสนับสนุนให้พี่น้องเกษตรกรรายย่อยนำไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพของตนเพื่อปรับเปลี่ยนจากการผลิตแบบเชิงเดี่ยวมาเป็นการผลิตเพื่อความหลากหลาย หรือสำหรับพี่น้องเกษตรกรที่ทำการเกษตรผสมผสานอยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าจะดำเนินการต่ออย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ โดยมีความมุ่งหวังให้พี่น้องเกษตรกรอยู่อย่างพอเพียง และอยู่ดี มีสุข
จากแนวทางการพัฒนาและความพยายามของเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน และพหุภาคีภาคอีสานที่จะผลักดันให้เกษตรกรรายย่อยในภาคอีสานได้เปลี่ยนกระบวนคิด และแนวทางการผลิตจากการเกษตรเชิงเดี่ยว หรือที่เรียกว่าเกษตรกระแสหลัก ที่เน้น 1) การผลิตที่ต้องการให้ได้ผลผลิตสูงๆ และใช้ปัจจัยการผลิตมากๆ 2) มีการลงทุนด้านเครื่องจักรกลการเกษตรแทนการใช้แรงงานคน 3) เน้นการผลิตเชิงเดี่ยว ถือเป็นการผลิตที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีการผลิตในพื้นที่ขนาดใหญ่ 4) เป็นระบบการเกษตรที่มีข้อผูกพันกับระบบธุรกิจอย่างเหนียวแน่น และ 5) เป็นระบบการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเป็นหลัก ซึ่งได้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย วิฑูรย์ (2535) กล่าวว่าจากแนวทางพัฒนาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรไทยโดยตรงไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้าน1) สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาที่ชัดเจนได้แก่ปัญหาการพังทลายของหน้าดิน ปัญหาดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ ที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นเวลานาน และปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทำให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมและทำลายความสมดุลตามธรรมชาติ 2) ด้านเศรษฐกิจการเกษตรแผนใหม่มีเป้าหมายในการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหาร และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร แต่แทนที่เกษตรกรจะประสบความสำเร็จ ในทางตรงข้ามเกษตรกรในประเทศด้อยพัฒนากลับล้มเหลวทางเศรษฐกิจเนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงกว่ารายได้ และไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองได้ 3) ผลกระทบด้านสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค การใช้สารเคมีในระบบการผลิตไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีทั้งยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืช ได้ส่งผลโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสารตกค้างในผลผลิตได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค 4) ผลกระทบต่อภูมิปัญญาไทย ความรู้ที่ได้จากการไปศึกษาการเกษตรจากต่างประเทศ หรือการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาวางรากฐานการเกษตรของไทย ทำให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยถูกละเลย เนื่องจากความเชื่อถือที่ว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ทันสมัย ทำให้เกษตรกรเกิดความไม่มั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของตนที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นเวลานาน จนขาดการพัฒนาทั้งที่ภูมิปัญญาช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของเกษตรแผนใหม่ได้
จากสภาพปัญหาด้านการเกษตรดังกล่าวภูมิปัญญาจากมันสมองของปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานผู้ที่ทำเกษตรผสมผสานมานานนับสิบปี จึงเกิดเป็น “เกษตรประณีต 1 ไร่” ขึ้นมา ซึ่งเป็นรูปแบบการเกษตรแนวใหม่ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่า สามารถพึ่งพาตนเองได้ เริ่ม จากเล็กไปหาใหญ่ จากง่ายไปหายาก บนรากฐานการพึ่งตนเองด้วยการรู้จักพอ การอุดรูรั่ว การออมน้ำ ออมดิน ออมสัตว์ ออมต้นไม้ ออมเงิน สั่งสมกัลยาณมิตร และสั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหา ทำให้มีอยู่มีกิน เหลือกินได้แจกทำให้มีเพื่อน เหลือแจกได้ขายทำให้มีเงินจึงกลายเป็นคนมีอยู่มีกิน มีเพื่อน มีเงินและมีสุขภาพดีจากการกินอาหารปลอดสารพิษ ได้เดินออกกำลังกายในสวนทุกวัน ทำงานในที่ร่มรื่น พร้อมด้วยสีสวยและกลิ่นหอม ๆ ของมวลดอกไม้ที่บรรจงปลูกไว้ ร่างกายจึงแข็งแรง จิตใจจึงแจ่มใส สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ลูกหลานอยู่ใกล้ ญาติสนิทมิตรสหายมากมายทำให้สุขภาพทางสังคมดีไปด้วย มีการพบปะแลกเปลี่ยนแก้ไขปัญหาจนเกิดปัญญาพร้อมด้วยจิตสาธารณะที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะตัวเองก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ อยากบริจาคเป็นทานแก่ผู้สนใจ กลายเป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณที่ทำให้ปราชญ์ชาวบ้านเองมีความสุขจนลืมป่วย
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
30 ก.ค.2550เกษตรกรรมประณีตบนพื้นที่ ๑ ไร่ คือ พื้นที่แห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ทรัพยากร วิชาการ นโยบาย และแผนการพัฒนาที่ถูกต้อง
ฉะนั้น จึงเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้แบบบูรณาการที่แท้จริงครับ
ขออย่าหลงประเด็น
ขอบพระคุณมากครับอาจารย์
เกษตรประณีตหนึ่งไร่ ก็คงต้องทำความเข้าใจกันต่อไปครับอาจารย์ แม้กระทั่งปราชญ์ชาวบ้านที่ร่วมถก ร่วมคิดด้วยกันมายังตอบไม่ตรงกันเลยครับ
แต่อย่างไรก็ตามจะได้เร่งสร้างความเข้าใจให้ตรงกันต่อไปครับ
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
เข้าใจว่า เกษตรประณีต เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่ยากที่จะทำ ณ ปัจจุบัน เพราะคนยุคสมัยหนึงปลูกฝั่งให้รุ่นลูกเข้าใจว่ามัน เฉย มันไม่มีความเจริญในหน้าที่การงาน ซึ่งจริงๆชีวิตเราอยู่กับธรรมชาติยู่แล้ว หนีความง่ายๆ ไปหาความหมายยากๆจะได้ดูมีความรู้กว่าคนอื่นเขาก็เท่านั้น หนูเข้าใจว่าผู้ที่เข้าใจการเกษตรอย่างท่องแท้จะมีความสุขและค่อยช่วยเหลือผู้ที่สนใจจริง มากกว่ามานั้ง ใช้วิชาการศัพท์ยากๆมาหาความหมาย แต่ปฎิบัติจริงไม่ได้สักที ก็เป็นคนหนึ่งพยายามกลับมาอยู่กับสิ่งที่ควรอยู่
เกษตรประณีต 1 ไร่ เป็นนวัตกรรมที่จะให้เกษตรกรได้เรียนรู้ความเป็นจริงของอาชีพเกษตรกรอย่างมืออาชีพ เป็นโจทย์ที่จะตอบคำถามที่ค้างคาใจเกษตรแห่งความโลภที่บอกว่า ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ซึ่งสวนทางกับตำสอนของปู่ ย่า ตา ยาย ที่บอกว่า "อยากได้หลายจะได้เท่านิ้วก้อย อยากได้น้อยสิได้เท่าโป้มือ" สอนไม่ให้โลภนั่นเอง