citrus say:
ขอบคุณมากนะคะ ที่แสดงความยินดี และช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วย สำหรับรางวัลสุดคะนึง อยาก share feeling ว่า การทำ KM ในองค์กรอาจจะไม่ success เท่ากับที่พนักงานเข้าไปเสาะหา network และเรื่องที่สนใจเอง เพราะอย่างของพี่เอง ในบริษัทก็พยายามให้เราเข้าไปเขียน แต่พอเราเขียน ก็ไม่เห็นจะมีคนมาอ่าน ซึ่งผิดกับใน G2K ที่มีวงกว้าง และมีโอกาสที่จะเจอคนคอเดียวกันได้มากกว่า และเป็นเรื่องที่เราอยากรู้ อยากแบ่งปันเอง ไม่มีใครมาบังคับ
ส่วนเรื่องรายงาน อยากให้เพิ่มเติมรายละเอียดเรื่อง case ตัวอย่าง บทวิเคราะห์ สังเคราะห์
โปรดอ่านบันทึกของพี่ฉบับล่าสุดที่เขียนเรื่องรายงาน และลองอ่านที่ให้ความเห็นในบางรายงานของเพื่อนไปหลายคนแล้วค่ะ
ดีจังค่ะที่มีคนเขียนเรื่องนี้ เพราะของเราทำเรื่อง Community of Practice ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ KM ตอนเขียนเรื่อง CoP ก็กังวลว่า เอ เราจะพูดถึง KM ประมาณไหนดีนะ น้อยไปเดี๋ยวผู้อ่านไม่เข้าใจ มากไปก็จะไม่ได้เขียนเรื่องของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้มีเรื่อง KM ให้อ่านละเอียดแล้ว น่าจะทำ link มานะเนี่ย ^-^
แป๋ม
IO#2
เรื่องนี้ให้ความรู้มากเลยค่ะ เป็นการแนะนำวิธีการสร้างความรู้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแต่คิดไม่ถึงค่ะ และวิธีการเขียนก็อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ
จากอุไรวรรณ ทองเจริญ i/o ค่ะ
บริษัทพี่บอยมีการจัดทำอย่างไรคะ เริ่มต้นจากการเก็บเป็นแผนกๆ หรือว่ามีหน่วยงานที่จัดทำKMโดยเฉพาะเลยหรือเปล่า
พัฑ
อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง KM ดีทีเดียวแต่ช่วยยกตัวอย่าง case ขององค์กรที่มีการจัดทำ KM แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่ปัญหาและอุปสรรคของการทำเรื่องนี้ในองค์กรคืออะไร นอกจากพนักงานไม่ให้ความสนใจแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ยคะ... :-)
ณัฐดา (นัท)
ดีครับ พี่บอย
การจะใช่ KM นั้น ส่วนใหญ่เราใช่เครื่องมืออะไรเก็บครับ เช่น เก็บเป็นไฟล์เอกสารในเซิฟเวอร์ หรือมีการใช้โปรแกรม หรืออาจจะเป็นบล็อคของเราได้หรือไม่ครับ
อยากรู้ว่าที่ที่ทำ KM นั้นใช้เครื่องมืออะไอบ้างอะครับ
การมาแชร์ข้อมูลความรู้ในแต่ละสายงานต่างๆ นั้นดีมากๆ เราจะได้รู้ว่าฝ่ายงานอื่นๆ เขาทำอะไรกันบ้างแล้วเรายังได้ความรู้เพิ่มด้วย แต่การจะจูงใจให้พนักงานมาช่วยกันสะสมความรู้ นี้สิครับ เรื่องยากมากกว่าเนอะ
ไว้จะมารอความเห็นเพิ่มเติมนะครับ
สวัสดีพี่บอย ........เขียนเรื่องนี้ได้ละเอียดดีนะครับทำให้ทราบเลยว่าทำไมเราต้องทำ KM ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของทรัพย์สินทางปัญญาด้วยถ้าบริษัทไหนไม่ทำ KM คงจะลำบากน่าดู ยิ่งความรู้แบบ Tacit Knowledge ถ้าเราจัดความรู้หรือเก็บความรู้เหล่านี้ไม่ได้ถ้าเค้าออกไปเราคงเสียดาย ความรู้ ประสบการณ์ ของเค้าแน่ๆเลย..........แต่อยากทราบครับพี่บอยว่าการทำ KM มันควรเริ่มอย่างไรจะเริ่มเป็นเรื่องๆ หรือเป็นแผนก หรือแล้วแต่ความพร้อมของบริษัท ขอคำแนะนำพร้อมตัวอย่างหน่อยนะพี่
ช่วยพี่บอยตอบพี่ต้องนะว่าเครื่องมือของ KM มีอะไรบ้าง พี่ต้องเข้าไปดูที่ http://gotoknow.org/blog/practicallykm/119306 เลยเป็นบล็อกของคุณหมอ Dr. Phichet Banyati ลองเข้าไปอ่านนะพี่มีเครื่องมือการทำ KM เพียบ (ไปเอาลิงค์ที่ อ. ส้ม เค้ามาแปะมาให้มาอะ 5555+ ....เหนเป็นเรื่องเดียวกันเลยเอามาแปะให้
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาแบ่งปัน
บอย
น่าสนใจที่จะรู้ว่าเขาประเมินผลสำเร็จของKM ได้ด้วยวิธีไหนค่ะ
พี่บุป
ผมได้ยิน KM คำนี้ มาหลายปีมากๆ รวมทั้งเข้าร่วมสัมมนาอีกหลายแห่ง ทำงานกับองค์กรใหญ่มาบ้าง ซึ่งมี comment กับเรื่องดังกล่าวดังนี้
1. KM ที่พูดถึงกันส่วนใหญ่ (ในหลายบริษัท) ยังเป็นแค่แนวคิด (แต่เป็นแนวคิดที่ดีนะครับ) อาจมีบางแห่งเริ่ม Implement บ้าง แต่สุดท้าย วัดผลลำบากครับ ว่าองค์กรหรือบริษัทเราตอนนี้เป็น KM แล้วหรือยัง ถ้าเป็นแล้วอยู่ในระดับใด อะไรจะมาเป็นเกณฑ์ (Criteria) ในการประเมินบ้าง แต่ความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่ามีระบบ KM มีดีกว่าไม่มีครับ ถ้าไม่ต้องใช้เงินลงทุนด้านนี้สูง โดยเฉพาะในเรื่อง technoloy ดังนั้น การเลือกใช้ tech. จึงมีความสำคัญควบคู่กับเรื่องที่เราอยากจะทำ รวมทั้งผู้บริหารต้องเห็นด้วย และยอมรับว่าบางเรื่องยังเป็นนามธรรมหรือแนวคิดในการพัฒนาองค์กร (OD) อยู่ ไม่งั้นทำไปแล้วเครียดครับ (โดยเฉพาะถ้าผู้บริหารต้องการวัดผลเป็นตัวเงิน หรือ หาROI, หา Break Event-Point แล้วละก้อ แนะนำว่าอย่าทำมันเลยครับ HR หรือคนเกี่ยวข้องต้องเครียดแหง๋ๆ) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องนะครับ ที่อยู่ใน scope ดังกล่าว เช่น KPI&Balance ScoreCard, Change Management ซึ่งปัจจุบันผมก้อกำลังทำอยู่ใน SAP Project ฯลฯ
2.ระบบเทคโนโลยีที่มาสนับสนุนทางด้านนี้ ส่วนใหญ่จะเป็น IT ครับ เห็นด้วยกับบทความนี้นะครับที่บอกว่าอย่าไปหลงทางกับ tech. จริงๆ อยู่ที่ content & สาระในการทำระบบ KM มากกว่า สามารถเลือกทำแบบง่ายๆ ก็ได้ ใช้แค่ WebSite, WebBlog, MicrosoftOffice แค่นี้ก็อาจจะพอสำหรับเริ่มต้น แต่สุดท้ายระบบ KM ที่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องเพิ่งพา IT ที่แพงๆ อยู่ดี ขอแนะนำ tech ทางด้าน IT อีกหลายตัวเช่น Datawarehouse, DataMining, AI (ไม่ขออธิบายเพิ่มใน tech. แต่ละตัวนะครับ ไม่งั้นยาวมากแน่ๆ 555)
3.เรื่อง "คน" กับ "วัฒนธรรมองค์การ" ครับ ผมคิดว่า 2 ปัจจัยนี้มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกัน และเป็น 2 ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำระบบ KM ให้ประสบความสำเร็จ (จากประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัว) หากคนไม่สนใจ วัฒนธรรมองค์การ ไม่เอื้อหรือไม่สนับสนุนการเรียนรู้ ต่อให้ tech ทีมงานในการทำ และระบบต่างๆ ดีขนาดไหน ก้อไม่สำเร็จ ดังนั้น การทำระบบ KM ต้องเน้นพัฒนา "คน" กับ "วัฒนธรรมองค์การ" ควบคู่ไปด้วย แนะนำให้อ่านหนังสือ ชื่อ คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน (Happy) ของ คุณธนา เธียรอัจฉริยะ จะเข้าใจและเห็นตัวอย่างจากเรื่องนี้มากขึ้น
4.แนะนำโมเดลของเรื่อง (Explicit Knowledge) & (Tacit Knowledge) เพิ่มเติมนะครับ จริงเรื่องนี้จะมี Model อยู่ อธิบายเป็นรูปภาพ จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นกว่าการเขียนเป็นบทความ ถ้าผมเจอ Link จะส่งมาให้นะครับ
5. หนังสือ The Fifth Discipline ของ Peter M. Senge น่าศึกษาเพิ่มเติมครับ แต่ขาดการนำไป Implement และวัดผลจริง เป็นแค่แนวคิด (เท่าที่พลิกดูคร่าวๆ ) ถ้าใครมีความเห็นแตกต่างหรือมีแนวคิดวัดผลเรื่องพวกนี้ได้ ส่งข้อมูลมาให้อ่านหน่อย จะขอบคุณหลายๆ ที่ t_tar777@hotmail.com
สุดท้ายนี้ ขอให้ บอย โชคดี (ได้ A) ในการเรียนที่นี่นะครับ จาก พี่ต้าร์ เอง :)
ขอบคุณมากครับ พี่ตาร์ สำหรับคำแนะนำที่ดีมากๆและร่วม share ความรู้และประสบการณ์ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นประโยชน์สำหรับการทำ KM เป็นอย่างมาก
ปล.เรียนโท 2 ใบพร้อมกันและก็ทำงานไปด้วย ทำได้ไงสุดยอดจริงๆ ปีนี้จบทั้ง 2 ใบเลยใช่ป่าว รับปริญญาเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ จะไปร่วมแสดงความยินดีนะครับ พี่ต้าร์
อ่านเรื่องของพี่บอยจบแล้วรู้สึกว่าการมี KM ในองค์กรนี่ดีจริงๆเลยนะคะ แต่ก็อย่างที่อาจารย์ส้มบอกว่าเวลาเราเข้าไปเขียนก็ไม่เห็นจะมีคนเข้าไปอ่าน ทำให้สงสัยอ่ะค่ะว่าทางบริษัทของพี่บอยเองมีการทำ motivation อย่างไร เพื่อที่จะให้พนักเข้ามาสนใจในการทำ KM น่ะค่ะ อย่างบริษัทโบว์เค้าจะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเลยว่าวันนี้ Update แล้วนะ แล้วมีหัวข้ออะไรใหม่ แล้วก็มีการส่ง mail เข้ามาให้พนักงานได้ทราบถึงการ Update ครั้งนั้นๆด้วยนะคะ โบว์ว่ามันก็มีส่วนดี เพราะว่าวันๆพนักงานก็ยุ่งกันมากจนอาจจะลืมหรือไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องดีๆไปได้ แล้วบริษัทพี่บอยล่ะค่ะมีวิธีอะไรเด็ดๆบ้างยังไงช่วย Share ให้ฟังหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
เนื้อหาใกล้เคียงกับของ "คิม" ช่วยต่อยอดกันได้ดีเลยค่ะ เพราะเอา 2 คนมารวมกันได้ความรู้เพิ่มเยอะเลยค่ะ กำลังมองหา Model เรื่องนี้ ขอบคุณนะคะ แต่อยากได้ Model ฉบับเต็ม/มากกว่านี้ ช่วย Share มาให้ได้บ้างไหมคะ ขอบคุณมากค่ะ
บุษบงค์ (ยิน : ปี 2)
บอยเขียนดีค่ะ เรื่องนี้หาคนทำยาก
พี่เอ๋
หวัดดี บอย อืมมข้อมูลนายแน่นมากทำให้เข้าใจได้เลยว่า การจัดการความรู้มีข้อดี ข้อเสียยังงัยบ้าง เราว่าการเก็บข้อมูลสำคัญ แต่ว่า การเอาข้อมูลมาใช้นี่ดิ ยากกว่าอีก ดูจากที่เคยเก็นมาอ่ะนะ เพราะว่าไม่มีการจัดวิธีการเก็บที่สะดวก เป็นลักษณะที่มีอะไรก็เก็บเข้าไปในนั้นอย่างเดียวเลย กว่าจะหาข้อมูลได้แทบตายเลย ถ้ามีการถ่ายทอดที่ดีมันก็จะทำให้การจัดการความรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขอชื่นชมนะบอย ว่านายเอาข้อมูลมาทำให้สนใจเรื่องนี้มากๆเลย ขอบคุณคะ
สวัสดีค่ะพี่บอยคนดีของ.....ทุกคน
เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวแต่บางทีไม่รู้ตัวว่าทำอยู่เนื้อหาครบถ้วนมากมายค่ะ ทำให้คนอย่างที่ไม่เคยอยู่ในองค์กรไหนเลยอย่างนันทน์พอจะนึกภาพตามได้ รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นการจัดรูปแบบการเรียนรู้หลายๆอย่างให้เป็นระบบมากขึ้น เครื่องมือก็เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบต่างๆ คิดว่าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งสำคัญมากๆในเรื่องของการทำ innovation culture ใช่มั้ยคะ
มีข้อมูลของ สคส มาเพิ่มเติมนิสนึงค่ะ
แรงจูงใจในการริเริ่มการจัดการความรู้
แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน และองค์กร เป็นเงื่อนไขสำคัญ ในระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้
แรงจูงใจเทียมต่อการดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ เป็นต้นเหตุที่นำไปสู่การทำการจัดการความรู้แบบเทียม และนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด เช่น ทำเพราะถูกบังคับตามข้อกำหนด กล่าวคือ ทำเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำ หรือทำเพื่อชื่อเสียง ทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรดูดี หรือมาจากความต้องการผลงานของหน่วยย่อยภายในองค์กร เช่น หน่วยพัฒนาบุคลากร (HRD) หน่วยสื่อสารและสารสนเทศ (ICT) หรือหน่วยพัฒนาองค์กร (OD) ต้องการใช้การจัดการความรู้ในการสร้างความเด่น หรือสร้างผลงานของตน หรืออาจมาจากคนเพียงไม่กี่คน ที่ชอบของเล่นใหม่ๆ ชอบกิจกรรมที่ดูทันสมัย เป็นแฟชั่น แต่ไม่เข้าใจความหมายและวิธีการดำเนินการจัดการความรู้อย่างแท้จริง
“โมเดลปลาทู” เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี ๓ ส่วน คือ๑. ส่วน “หัวปลา” (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “หัวปลา” นี้จะต้องเป็นของ “คุณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “คุณเอื้อ” และ “คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ ๒
. ส่วน “ตัวปลา” (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง “คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม๓. ส่วน “หางปลา” (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ “คลังความรู้” หรือ “ขุมความรู้” ที่ได้จากการเก็บสะสม “เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ “หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
น้องนันทน์