วันที่ ๖ มค. ๔๙ ในการประชุม UKM
ผมนั่งฟัง คุณบุญรอด สิงห์วัฒนาศิริ ที่ปรึกษา
สำนักงาน กพ. พูดเรื่อง ราชการใสสะอาด
บอกว่าแต่ละจังหวัดต้องรับผิดชอบดำเนินการตามมติ ครม.
เรื่องราชการใสสะอาด
(ซึ่งมีศูนย์ประสานงานและคณะกรรมการกำกับในส่วนกลาง)
แล้วออกแบบการดำเนินการโครงการด้านราชการใสสะอาดให้เหมาะสมต่อแต่ละจังหวัด
ผมบอกตัวเองว่านี่คือการดำเนินการแบบริเริ่มโดยส่วนกลาง
ผมจึงถามตัวเองว่า
ถ้าให้ผมเป็นผู้ออกแบบการทำงานของส่วนกลางแบบ KM
ผมจะทำอย่างไร
ความฝันของผมก็คือทำงานแบบ
ทำไปเรียนไป เรียนรู้ร่วมกัน
ระหว่างศูนย์ประสานงาน กับจังหวัด เรียนรู้จาก
ความดี คือทำแบบ
เน้นกระบวนการเชิงบวก เอาเรื่องราวดีๆ
ออกสู่สาธารณชน
เอาความสำเร็จหรือจุดเด่นด้านความใสสะอาด
ของแต่ละจังหวัดออกมาเรียนรู้ร่วมกัน
ว่าที่ทำได้สำเร็จเพราะมีความเชื่ออย่างไร
คิดอย่างไร ทำอย่างไร
ทำต่อเนื่องเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบ
เชื่อมโยงสู่การพัฒนาอย่างบูรณาการในทุกด้านขององค์กร
ซึ่งในที่สุดแล้วจะฝังเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันกับการทำงานประจำ
ไม่ใช่งานแยกออกมา
เพื่อตอบสนองหน่วยงานตรงกลาง
แต่เน้นการทำงานรับใช้ประชาชนอย่างมีคุณภาพ
เป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้บริการ
เป็นเป้าหมายสำคัญ
ทักษะที่ส่วนกลางคือสำนักงาน กพ.
ต้องพัฒนาขึ้น คือการเสาะหาความดีจิ๋ว
เรื่องราวดีๆ
ที่แสดงความใสสะอาด
เอามายกย่อง ให้หน่วยงาน / บุคคล
ที่ร่วมกันสร้างความใสสะอาดนั้น ออกมาบอกสาธารณชน
ว่าเขาเชื่อ/คิด/ทำ/ฟันฝ่า อย่างไร
จึงเกิดความใสสะอาดนั้น
ที่สำคัญผู้เสาะหาตัวอย่างของความใสสะอาด
ต้องใสสะอาดเองด้วย
ต้องหาตัวอย่างของจริง เอามาเผยแพร่ ขยายผล
ส่งเสริม โดยทำแบบ KM
ไม่ใช่ทำแบบใช้อำนาจ / เล่นพวก / เอาใจ
ต้องทำแบบเนียน
ไม่ใช่ตีฆ้อง
ต้องส่งคนไปศึกษาว่าในการฟันฝ่าเพื่อความใสสะอาดเขายากลำบากอย่างไร
ต้องอย่าทึกทักว่าความใสสะอาดมันขึ้นอยู่กับเพียงเฉพาะระบบภายในหน่วยงาน
จริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกร้อยแปด
และอุปสรรคที่สำคัญคือผู้มีอำนาจทั้งหลายนั่นเอง
หลายคนเหมือนมี ๒ หน้า
มีตำแหน่งใหญ่โต
พูดต่อต้านคอรัปชั่นทุกวัน
แต่ตัวเองหาทางสูบเลือดสังคมอยู่ทุกวันเหมือนกัน
คนเหล่านี้ทำให้ “ความใสสะอาด”
ถูกเปลี่ยนนิยาม หรือมีความใสสะอาด ๒
แนว คือแนวหลอกๆ
ทำกันพอให้สังคมเห็นว่ามีการทำ
กับแนวของแท้
จะเห็นว่าเวลานี้ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง
เราต้องส่งเสริมของแท้ หน่วยงานแบบ กพ.
ต้องมีทักษะในการหาของแท้ มาเชิดชู
ส่งเสริมสนับสนุนให้ขยายเครือข่ายออกไป
และให้เขาผู้ฟันฝ่าเพื่อความใสสะอาดบอกว่าเขาฟันฝ่าอะไรบ้าง
ผมเองสมัยเด็กๆ เป็นรองอธิการบดี อายุ สามสิบต้นๆ
เห็นพฤติกรรมกินเงินก่อสร้างของผู้ใหญ่ในกรุงเทพแล้วทนดูไม่ได้ต้องขอลาออก
ดร. ผาสุข กุลละวณิชย์ ท่านอดทนต่อสู้แกมผ่อนปรน
ท่านต้องโดนสอบสวนลงโทษตัดเงินเดือน
ตอนหลังต้องต่อสู้อุทธรณ์จึงได้หลุด
ผมไปชี้แจงงบประมาณต่อกรรมาธิการของสภาผู้แทนฯ
หัวหน้าพรรคท่านหนึ่งสนใจถามแต่เรื่องการก่อสร้าง
ที่ ม. อุบลครั้งหนึ่งจะเปิดประมูลก่อสร้าง
มีอันธพาลลูกน้องนักการเมืองจำนวนหลายคนเข้าไปปิดทางไม่ให้ผู้รับเหมาเข้าไปยื่นซองประกวดราคา
ที่หน้าห้องประชุม
ทำกันแบบโจ่งแจ้ง
ลือกันว่านักการเมืองผู้นี้มีบริษัทก่อสร้างและชวนผู้รับเหมารายอื่นฮั้วไม่สำเร็จ
จึงหาทางป้องกันไม่ให้ผู้รับเหมารายอื่นเข้ามาหากินในพื้นที่ของตน
นักการเมืองรายนี้ยังเป็น สส.
อยู่ในพรรครัฐบาลในเวลานี้ จะเห็นว่า
“ความรู้” สำหรับการทำงานแบบใสสะอาด และในเวลาเดียวกันตัวเอง /
หน่วยงาน ก็อยู่รอด ในสังคมที่ไม่ใสและไม่สะอาด
นั้น ต้องการความรู้ (ปฏิบัติ)
หลายชุด ต้องเปิดช่องให้ผู้ปฏิบัติและมีผลงาน ลปรร.
กัน จึงจะได้ความรู้ปฏิบัติที่ครบถ้วน
วิจารณ์ พานิช
๘ มค. ๔๙
ไม่มีความเห็น