สุภาษิตที่ยกมาเป็นหัวเรื่องนี้ เพื่อเป็นเหตุชวนให้คิดว่าทำอย่างไรให้อยู่ได้ ไม่ใช่ชวนให้คิดว่าเมื่ออยู่ไม่ได้ก็อย่าอยู่ ปัญหาเรื่องคับที่ หรือสถานที่คับแคบ โดยส่วนตัวคิดว่าแม้จะไม่คล่องตัว หรือทำงานลำบากก็ยังพออยู่กันได้ โดยเฉพาะขอให้อยู่กันด้วยความรัก แล้วอะไรที่จะบอกว่าเป็นความรักที่ว่า ผมมองว่าพื้นฐานสุดคือความจริงใจให้กันและกัน ฉะนั้นปัญหาคับที่จึงหมดไป เมื่อไหร่ได้ขยับขยายให้กว้างขึ้นก็ถือว่าดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
มาถึงคับใจ หรือขุ่นข้องหมองใจ อันนี้หากเป็นพระนักเทศน์ก็คงต้องเทศนาว่า "ก็ทำใจเสียสิโยม" แต่ผมมองว่ายากนะ ไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรม ยิ่งคนทำงานยังหนุ่ม ๆ สาว ๆ ยิ่งไม่ค่อย(อยาก)เข้าใจ ปัญหาคับใจอยู่ยาก หากเกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้ยากจริง ๆ ไม่เหมือนในวัยเด็ก จะไม่ค่อยมีเรื่องให้คับใจ ผมชวนให้คิดตรงนี้ว่าเพราะเด็ก ๆ ไม่คิดอะไรมาก ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจไว้นาน ๆ ฉะนั้นความคับข้องใจ จึงเป็นเรื่องที่เราสมมติขึ้นเอง คิดเอาเอง คิดแล้วติดยึดไว้ในใจ ยิ่งนาน ก็ยิ่งสะสมมากขึ้น ๆ ลองทำตัวเป็นเด็กคือไม่คิดอะไรมาก ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจไว้นาน ๆ และการจดจำไว้นาน ๆ ก็จะทำให้ลดเนื้อที่ของส่วนที่จะจำ หรือใช้คิดอย่างอื่น ใช้ทำอย่างอื่นลงไป ปัญญาก็เกิดน้อย เสียเวลา ผมมาชวนกันว่าลองทำตัวเป็นเด็ก ๆ เสียบ้างก็จะไม่คับข้องใจ อันนี้ลองไปดูเด็ก ๆ เวลาเล่นกัน อย่างผมมีลูกจะเห็นบ่อย แล้วเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
โดยสรุปใจความอยากบอกว่าความคับข้องใจเป็นสิ่งสมมติที่เราสร้างขึ้นเอง หากเราไม่สนใจเสีย หรือลืมเสียให้เร็ว อย่าได้จดจำไว้ให้นาน อาจจะใช้วิธีที่ผมใช้ก็ได้ คือนึกเอาว่า "ก็เขาเป็นอย่างนั้น เราไม่ชอบ เราก็อย่าเป็นอย่างเขา และหลีก ๆ เขาเสียเท่าที่หลีกได้โดยไม่ให้ผิดสังเกต" จะช่วยดัดใจตัวเองได้มากขึ้น ถึงจะไม่ทั้งหมด
เขียนเรื่องนี้โดยหวังว่าคนที่คับข้องใจอยู่และผมได้รับรู้จากที่เขาเล่าให้ฟัง จะได้มาอ่านเจอ (รู้ว่าเขาอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ) และให้ถือว่าบันทึกนี้คือสิ่งที่ผมอยากพูดในวันนั้น แต่พูดในตอนนั้นไม่ได้ครับ
ก็ดีน่ะ แต่มันไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ น่ะค่ะ
ยิ่งเจอกันทุกวัน ยิ่งลำบากใจ
ไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งเราทำเหมือน ไม่สนจนใจกันยิ่งเหนื่อยใจ