บันทึกก่อนเดินทางลงใต้วันนี้


  • โลกทั้งโลก เล็กกว่าหัวใจดวงน้อยๆ ดวงนี้ โลกมีอิสระของความเป็นโลก ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะให้โลกมาอยู่ในใจของเรา
  • สงครามที่อันตรายที่สุด คือสงครามที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดับใจได้ สงครามก็ดับลง
  • ไม่มีอะไรเป็นของใคร จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป

          วันพุธที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เวลา ๑๒.๐๐ น. ผมรีบออกไปโลตัสนวนคร แต่งกายค่อนข้างจะดูดีให้เหมาะสมกับหน้าที่การงาน ผมใช้บริการรถปิ๊กอั๊ปสองแถว เพื่อไปนวนคร หากขึ้นรถปรับอากาศต้องให้ค่าบริการโดยสารอย่างน้อย ๘ บาท แต่สองแถวราคาน้อยกว่าคือ ๕ บาท เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถ หลายคนมองหน้าผม ผมคิดในใจว่า จะมองอะไรกับร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าสวยงามนี้เล่า เป็นเรื่องแปลกหรืออย่างไรกับการที่ผมจะนั่งบนรถสองแถวด้วย เมื่อไปถึงนวนคร ผมเดินข้ามสะพานลอยเดินมุ่งหน้าไปโลตัส เป้าหมายคือ ร้านซีเอ็ด บุ๊คฯ เพื่อไปซื้อหนังสือตามคำแนะนำให้ไปอ่านจากมิตร (จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร) ตั้งเป้าว่าจะซื้อมอบให้วิทยากร ๑ เล่ม และผมเองอีก ๑ เล่ม เหงื่อโทรกายกับแดดร้อนๆ ไปถึงหน้าร้าน "มีหนังสือ เดินสู่อิสรภาพ ที่เขียนโดย ประมวล เพ็งจันทร์ ไหมครับ" ผมถามคนเก็บเงิน เพื่อจะไม่ต้องไปค้นเองตามชั้นวางหนังสือ เจ้าหน้าที่เก็บเงินก็ทำหน้าที่โดยค้นหาหนังสือ พบคำตอบว่า "หมดแล้วค่ะ จะสั่งจองไหมคะ" ผมคิดในใจว่า สั่งดีหรือไม่ เพราะต้องการแบบด่วนๆ หากสั่งต้องรออีกหลายวัน ไม่สั่งดีกว่า จึงยิ้มให้แหยๆกับเจ้าหน้าที่ และบอกออกไปว่า "ไม่เป็นไรครับ...ขอบคุณมากครับ" 

              ผมเดินออกจากโลตัส ในใจก็คิดว่า จับแท็กซี่ ไปฟิวเจอร์ดีไหม รีบเดินไปเรียกแท็กซี่ดีกว่า เดินมาถึงทางเท้าริมถนนใหญ่ ก็คิดอีกว่า อย่าดีกว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ใจร้อนมาบ่อยแล้ว เมื่อดูนาฬิกา มีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง คงไม่ทัน ด้วยเหตุที่ นัดนักศึกษาไว้เวลา ๑๒.๓๐ น. เพื่อเข้าห้องประชุมใหญ่ โดยเชิญอาจารย์วิมลที่ท่านมีความเชี่ยวชาญในงานด้านจิตวิทยามาบรรยายให้ฟังพิเศษ ถ้าผมมาไม่ทันเวลา จะเสียหายได้ จึงตัดสินใจขึ้นรถปรับอากาศกลับมหาวิทยาลัย ๘ บาท (หากเป็นรถต่างจังหวัด ๑๐ บาท) รีบปั่นจักรยานเสือหมอบ (เพื่อนเรียกว่าจักรยานเสือผู้หญิง) เข้าไปห้องทำงานเพื่อเตรียมอุปกรณ์ พบหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หลังจากพูดคุยได้ไม่นาน ผมต้องรีบไปกินข้าวและเตรียมอุปกรณ์เข้าห้องประชุมใหญ่ วันนี้มีงาน ๒ งานคือ ๑) ประชุมจรรยาบรรณวิชาชีพ ๒) ฟังบรรยายร่วมกับนักศึกษาเรื่อง "ความเข้าใจตนเองและผู้อื่น"

         ใกล้เที่ยงครึ่ง สะพายโน๊ตบุ๊คไป ๒ ตัว คือ ๑) เป็นโน๊ตบุ๊คของคณะ เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการบรรยายของวิทยากรที่เชิญมา ๒) โน๊ตบุ๊คส่วนตัว ที่เจียดเงินซื้อมาไว้เขียนหนังสือ นอกจากโน๊ตบุ๊ค ผมก็หอบหิ้วเอกสารที่เพื่อนบอกว่า วิทยากรให้ถ่ายไว้ปึกใหญ่ไปด้วย เมื่อไปถึงห้องประชุมราชนครินทร์ ผมเห็นนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ยังไม่เข้าห้องประชุม หากแต่ออกันอยู่หน้าห้อง ผมชักชวนให้เขาเข้าห้องประชุมพร้อมกัน ผมเดินไปจัดเตรียมโน๊ตบุ๊ค ที่โต๊ะวิทยากร ต่อมาเจ้าหน้าที่มาช่วย เลยปล่อยให้เจ้าหน้าที่จัดการ นักศึกษาเริ่มเข้ามามาก ผมจึงจับไมค์พูดไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเข้าห้องประชุม บอกให้นักศึกษาฟังว่า เราเท่าเทียมกัน การมาก่อนและนั่งหน้าจะมีความสำคัญกับกิจกรรมนี้มาก ทุกคนเริ่มทยอยมานั่งโต๊ะหน้าจนเต็ม รวมแล้วมีนักศึกษาร่วมฟังบรรยายประมาณ ๒๐๐ กว่า

        ระหว่างพูด เพื่อนร่วมงานก็มาสมทบ และอาจารย์ที่ผมนึกเคารพอยู่ในใจก็มาด้วย ผมไปไหว้ท่าน และบอกว่า อันที่จริงไม่ต้องมาก็ได้ครับ ผมจัดการให้ได้ แต่ท่านก็บอกว่า ท่านอยากฟัง เพื่อจะได้นำไปสอนได้ พบว่า อาจารย์ที่เข้าร่วมวันนี้มี อ.วิมล คณะครุฯ เป็นวิทยากร ผศ.บังอร คณะวิทย์ฯ ดูแลนักศึกษา ผม อ.ประกาศิต อ.ดาว อ.เจน เมื่อวิทยากรมาถึง ผมเข้าไปไหว้แสดงความเคารพ และรีบไปจับไมค์ พูดได้เล็กน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมในนักศึกษาเช่น การตั้งใจฟัง การปิดเครื่องมือสื่อสาร จากนั้นจึงเชิญวิทยากร ผมฟังจนบ่ายโมงอีก ๒ นาทีก็จะ บ่ายครึ่งตรง จึงต้องขอตัว โดยให้ อ.เจนช่วยดูแลเด็กให้ด้วย (อันที่จริงไม่ต้องดูแลหรอก เพียงแค่นั่งเป็นกำลังใจ) ท่านไม่ปฏิเสธ ผมออกจากห้องประชุมพร้อมด้วย อ.ประกาศิต เพื่อไปประชุมจรรยาบรรณวิชาชีพในเวลาบ่ายโมงตรง ซึ่งต้องเดินลงอีก ๒ ชั้น หลังจากประชุมจรรยาบรรณได้ครึ่งชั่วโมง หลายคนเห็นกระสับกระส่าย จึงบอกให้ผมไปทำหน้าที่ที่รับไว้นั้น ผมขอตัวไปห้องประชุมใหญ่ หยิบโน๊ตบุ๊คส่วนตัว ไปนั่งหลังห้อง เพื่อฟังไปด้วย และทำงานที่ต้องรีบส่งด้วย บ่ายสามโมงกว่านิดๆ ฝนตก และไฟดับ ประจวบกับ วิทยากรบรรยายจบพอดี จึงเลิกจากห้องประชุมใหญ่ หิ้วสัมภาระคือ เอกสาร (ไม่สามารถจะแจกได้เพราะไฟดับเสียก่อน..เป็นแบบทดสอบทางจิตวิทยา) โน๊ตบุ๊ค ๒ ตัว แต่ด้วยความเอื้อเฟื้อจาก อ.บังอร โดยให้นักศึกษามาช่วยถือ (ปกติคือ มากแค่ไหนก็จะถือเอง ... ไม่เป็นไร ผมถือได้ครับ...ไม่อยากให้ใครมาลำบากเพราะเรา...เกรงใจเขา) ลงไปชั้น ๓ และผมก็นำอุปกรณ์เหล่านั้น มาเข้าห้องประชุมจรรยาบรรณต่อ จนเลิกประชุม เมื่อเดินออกจากห้องประชุม เลขาอธิการ ถามผมว่า "อธิการอยู่ จะเข้าพบไหม" ผมตอบไปว่า "อ้อ ดีเลยครับ ท่านจะให้พบหรือไม่" (สาเหตุคือ ช่วงเช้าเก้าโมงครึ่ง ผมมาขอพบท่านอธิการ แต่ท่านมีภารกิจเยอะผมจึงรอได้เพียงครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น) เลขาตอบว่า "ไม่มีปัญหา" "ถ้างั้นผมขอไปเอาเอกสารก่อนที่คณะฯ เดี๋ยวจะมาใหม่ ถ้าไม่ทันก็ไม่เป็นไร ไว้โอกาสหน้าก็ได้" จึงหันหน้าไปถามเพื่อนว่า จะมาพบอธิการด้วยกันไหม เพื่อนพยักหน้า

            หลังจากอาศัยรถเพื่อนมาที่คณะฯ จึงมากลับมาที่เดิม และได้พบกับท่านอธิการ เราได้พูดคุยกับหลายเรื่อง ท่านได้สอนให้เราสองคน ได้ใช้เมลล์ของมหาวิทยาลัยด้วย ได้พูดถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือพนักงานทุกๆคน แต่เห็นจะยากสำหรับทุนเรียนต่อสายปรัชญาและศาสนา ฯลฯ

            ประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราจึงเดินออกจากห้องอธิการกัน แน่นอน เข้าไปต้องไหว้ ก่อนออกก็ต้องไหว้ แสดงความเคารพในฐานะผู้บังคับบัญชา และดูแลเอาใจใส่พวกเรา อย่างน้อยผมก็อยู่ที่นี้มาเป็นเวลาเกือบ ๕ ปีแล้ว

           กลางคืนกลับมานอนและหลับไปตื่นเอาตอนเช้าของวันใหม่ ผมต้องเตรียมตัวสอนเต็มเวลาในวันนี้ ๖ คาบ ตั้งใจว่า เลิกเรียนจะไปซื้อหนังสือจำนวน ๓ เล่ม ด้วยกำลังหยาดเหงื่อของผมเอง โดย ๑ เล่ม ตั้งใจจะมอบให้กับอธิการบดี ผู้เป็นผู้บังคับบัญชา ในฐานะผมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา มาเกือบ ๕ ปีเต็ม....๑ เล่ม ตั้งใจจะมอบให้กับ อ.วิมล ที่ผมเชิญมาบรรยายให้นักศึกษาฟังในบ่ายวันพุธ และ ๑ เล่ม สำหรับผม ผมเคยตั้งใจจะซื้อหนังสือเล่มนี้เมื่อได้รู้อะไรบางอย่างเมื่อหลายเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเคยอ่านใน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผนวกกับ มิตรได้แนะนำอย่างจริงใจเพื่อให้ผมได้เรียนรู้จากหนังสือดีๆ 

          บ่าย ๓ โมงครึ่ง พึ่งหน้าไปกับเพื่อนอีกท่านหนึ่ง โดยอาศัยรถเซียร์ไปลงที่เซียร์รังสิต เพื่อนไปทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร ผมมุ่งไปร้านซีเอ็ด พบว่าเหลือหนังสืออยู่ ๒ เล่ม ไม่เป็นไร ๒ เล่มก็เอา โดย เล่มหนึ่งมอบให้วิทยากร อีกเล่มหนึ่งผมอ่านเอง ผมคิดในใจว่า มีเพียง ๒ เล่ม ก็แสดงว่า ท่านอธิการไม่มีบุญที่จะได้หนังสือหรืออย่างไร จะไปหาซื้อต่อดีไหม หรือปล่อยไปตามบุญ ระหว่างที่พบเพื่อนแล้วไป เราไปกินขนมจีนที่ใต้เซียร์ เสร็จแล้วก็ยังไม่หายคิด ลาจากเพื่อนใช้บริการรถตู้ และตัดสินใจไปหาซื้ออีก ๑ เล่ม เมื่อตั้งใจที่จะทำ จงทำ จิตเป็นกุศล ต้องทำกุศลให้เกิด ผมเข้าไปฟิวเจอร์ ถามหาหนังสือจากร้านนายอินทร์ แต่ไม่มี คำตอบและคำถามเดียวกัน "ของหมดครับ จะสั่งไหมครับ" และกิริยาผมก็เหมือนเดิมคือ ไม่เป็นไรครับ ยิ้มให้ ออกเดิน "โอ๊ะ ลืมขอบคุณ" จึงหันหน้าไปขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้เต็มไมตรี ไปอีกร้านหนึ่งคือ ซีเอ็ด ก็ไม่มีอีก และคำตอบก็คำตอบเดียวกัน จึงเดินคิดว่า จะไปซื้อที่ไหนดี ร้านหนังสือ งั้นไปร้านนายอินทร์อีกที่หนึ่งซึ่งใหญ่กว่า ปรากฏว่ามีวางอยู่ ๓ เล่ม งั้นซื้อเพิ่ม ๑ เล่ม ตอนนี้ในมือผมมีหนังสืออยู่ ๓ เล่ม "สมเป้าหมายแล้ว" มีอยู่เล่มหนึ่งซื้อจากเซียร์ ประมาณ ๕ หน้าแรก มีตำหนิ มีรอยยู่ยี่ มีรอยเย็บ (รู) เอาล่ะ เล่มที่มีตำหนินั่นแหละผมควรเก็บไว้ ส่วนหนังสือที่เรียบร้อยดี ผมจะมอบให้ผู้มีพระคุณ

          เช้าวันรุ่งขึ้นคือวันนี้ ผมได้ทำดีแล้ว หนังสือเล่มของผม ผมได้อ่านบ้างแล้วเมื่อคืน โดยผมไปอ่านบทสุดท้ายก่อน แล้วมาเริ่มอ่านหน้าแรก ด้วยเหตุที่สงสัยว่า ดินที่อาจารย์นำไปโปรยที่บ้านนั้น คือดินอะไร ผมสงสัยว่า ต้องเป็นดินที่อาจารย์เก็บมาหลายสิบปี และต้องเป็นดินที่บ้านเกิด ก่อนตัดสินใจว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จฉันจะไม่กลับบ้าน นี่คือการคาดเดาของผม และผมก็พบว่า ดินนั้นเป็นดินที่เอามาจากบ้านจริง นั้นแสดงว่า อ.ประมวล มีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวมากจริงๆ ผมเคยพบคนแบบนี้คนหนึ่ง มาจากเกาะพงัน เขามุ่งมั่นจนได้ผู้พิพากษา เป็นศิษย์รุ่นพี่ แต่ผมไม่ได้ทำความรู้จัก เพราะอุปัชฌาย์เอ่ยถึง และผมก็เคยพบตัวจริงของผู้พิพากษาคนนี้แล้ว "คนนี้นะหรือ"

          เล่มหนึ่ง หลังจากบันทึกลงกระดาษเสียบไว้ในปกหุ้ม ผมบันทึกว่า "หนังสือเล่มนี้ เป็นความตั้งใจของผม แทนความสำนึกรู้ในความเมตตา-กรุณาของท่านอธิการ หลังจากพบว่า ผมไม่เคยมอบสิ่งใดเป็นการส่วนตัวให้เลย ตลอด ๕ ปีมานี้ ขอให้ท่านอธิการมีสุขภาพแข็งแรง (กายใจ) ขอบคุณครับ ลงชื่อ ..........."  อันที่จริงอยากจะแสดงความรู้สึกดีๆ มากกว่านี้ แต่หน้ากระดาษเล็กหมดเสียก่อน การบริหารงานมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นองค์กรที่เรียกว่าใหญ่ คงเหนื่อย หนัก และน่าปวดใจน่าดูทีเดียว ท่านคงเหนื่อย ระมัดระวังทุกๆ เรื่อง ผมเข้าใจว่า ใครไม่เคยเป็นก็คงไม่รู้ เมื่อเขียนเสร็จ จึงขึ้นไปหาแต่อธิการยังไม่มา จึงขอให้เลขาเป็นไปรษณีย์ให้ ผมรู้สึกดีใจที่ผมได้ทำสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ดีแล้วกับสิ่งดี ผมมองว่าหนังสือคือปัญญา สักวันหนึ่งผมจะมีปัญญาดีๆกับใครๆเขาบ้าง ผมชอบหนังสือเล่มนี้ ผมจึงซื้อและมอบให้เป็น เครื่องสักการะในบุญคุณ (ผมชอบให้ในสิ่งที่ผมชอบ มากกว่าจะให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ นั้นแสดงว่าผมอัตตาสูง) 

           อีกเล่มหนึ่ง เขียนบันทึกทำนองเดียวกัน แต่ลงชื่อ ๓ คน คือ ผศ.บังอร เพื่อนและผม ขอบคุณที่ท่านอาจารย์วิมลไปเป็นวิทยากรให้ เล่มนี้ อ.บังอรขอมีส่วนร่วมด้วยในฐานะพี่ นอกจากนั้น เพื่อนก็ร่วมด้วย ผมจึงอดได้บุญคนเดียว ต้องขอบคุณท่านอาจารย์บังอร และเพื่อนที่มาแบ่งบุญของผมไป

           ขณะนี้เวลา ๑๒.๓๕ น. ฟ้าดูครึ้มๆ ตั๋วจะกลับใต้ก็ยังไม่ได้จอง ไม่รู้จะมีตัวหรือเปล่า โทรไปจอง สายก็ไม่ว่าง ระหว่างนั่งบันทึก มีโทรศัพท์ ๒ สายสั่นอยู่บนโต๊ะ สายหนึ่งเป็นพี่สาย แต่ไม่รับ เดี๋ยวบันทึกเสร็จแล้วผมจะโทรไปเอง อีกสายหนึ่งมาจากทางใต้ นี้ก็เช่นกัน เดี๋ยวผมโทรกลับเอง

  • เมื่อเจาะลึกลงไปในหัวใจของคนทุกคน เราจะพบว่า ทุกคนนั้นน่าสงสารเหลือกำลัง พึงอภัยให้กับทุกๆ ชีวิต จงอภัยให้กับตัวเอง
  • ขอบคุณครับโลกที่สวยงาม
คำสำคัญ (Tags): #เรื่องเล่า
หมายเลขบันทึก: 115024เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2007 12:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ..

อาจารย์มีกิจกรรมมากจังเลยนะคะ คลื่นของกิจกรรมอุดช่องว่างของเวลาแต่ละนาทีได้อย่างน่าอัศจรรย์ในพลังทางกายและใจค่ะ

สวัสดีค่ะ ครูเอก

         ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเจ้าค่ะ.......เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ --------> น้องจิ ^_^

  • ขอบคุณครับท่านอาจารย์จันทรรัตน์
  • กิจกรรม บางครั้งก็มาก บางครั้งก็น้อย ตามภาระหน้าที่ครับ แต่เข้าใจว่า ยังน้อยอยู่ครับ ดูเหมือนยังไม่ได้ทำอะไรเลย
  • สวัสดีครับน้องจิ คนเก่ง
  • กลับมาโดยสวัสดิภาพครับ ปวดเนื้อปวดตัว นี่แหละหนา เขาว่า อายุมากแล้วก็ปวดโน่นปวดนี่เป็นธรรมดา
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท