ปัญหาเรื่องผลการเรียนกับสุขภาพกายและจิตของนักเรียนมัธยม


ใครว่าการเรียนกับวัยรุ่นเป็นเรื่องเล็กเด็กๆ ใครที่สามารถ ช่วยเข้ามาจัดให้วัยรุ่นหน่อย พี่ๆที่ผ่านประสบการณ์นี้ไปแล้วมาเป็นกำลังใจให้น้องที่กำลังผ่านการปรับตัวอย่างยากลำบาก

เมื่อวานนี้เจอเหตุการวิกฤตที่ไม่คาดคิดขณะปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียนจึงคิดว่าปัญหาการปรับตัวของเด็กไม่ไช่เรื่องเล็กๆที่จะมองข้าม วันนี้จึงเข้าเปิดบันทึกใหม่เพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยนของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ประสบปัญหาในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหม่ การเปลี่ยนโรงเรียน การเปลี่ยนสถานะทางสังคมในโรงเรียน  ผลการเรียนที่มีการแข่งขันต่างกันจากหลายๆสถาบันมารวมกันอยู่ในโรงเรียนใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากกว่า  ก็ลองคิดดูว่าที่หนึ่งของหลายๆที่มาอยู่รวมกัน  ฉันก็เคยเป็นหนึ่งแต่อย่าลืมว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" แล้วเด็กน้อยที่มากด้วยความสามารถทั้งหลายได้ถูกเตรียมพร้อมให้ยอมรับความเป็นสองรองจากคนอื่นได้มากน้อยเพียงใดเพราะหลายคนก็ถูกผลักดันให้เป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา

เหล่านี้ไม่ไช่ใครที่ไหนแต่เป็นอนาคตของชาติไทยทั้งนั้น ถ้าเด็กๆปรับตัวได้สำเร็จภายใต้การยอมรับของครอบครัว คุณครู และจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับตัวเด็ก " Child  Center "  พยาบาลPCU จะพยายามเอา tip เล็กๆในการช่วยกันพาเด็กๆเหล่านี้สู่การปรับตัวที่สำเร็จมาฝากคะ  ท่านผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆของน้องๆ  เพื่อนๆคนใดที่อยากเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ขอเชิญได้เลยคะ



ความเห็น (12)

เรื่องนี้น่าสนใจมากค่ะ แต่ยังไม่ค่อยมีคนใส่ใจ

ลองศึกษาวิธีของผู้เชี่ยวชาญอัจฉริยะภาพจาก

ฮาร์วาร์ด เผื่อจะนำปรับใช้ได้คะ

เริ่มต้นที่ตอนจบ (start  from  ending)

 มีคนชอบถามหนูดีว่า จะใช้สมองอย่างไรถึงจะคุ้มค่า  จะใช้ชีวิต ใช้เวลาอย่างไรถึงจะถือว่าสมองของเราไม่ได้สูญเปล่า    ด้วยความที่หนูดีเรียนมาด้านสมองและทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ  จึงถูกถามในเรื่องนี้เป็นประจำ และก็เป็นคำถามที่ทำให้หนูดีสนุกมากที่จะตอบเสมอ  เพราะคำถามชนิดนี้ มีคำตอบได้มากมาย ไม่เคยตายตัว  ใครตอบก็ไม่มีวันซ้ำกัน                วันนี้ลองมาฟังนักวิจัยด้านสมองตอบคำถามนี้ดูกันเล่น ๆ ไหมคะ                สมัยที่หนูดีเรียนอยู่ที่อเมริกา  เคยถูกให้ทำแบบฝึกหัดหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตหนูดีไปตลอดกาลเลย  คือ เกม เริ่มต้นที่ตอนจบ    โดยเกมนี้เล่นไม่ยาก  แต่ใช้เวลาพอสมควร หนูดีเคยนำมาฝึกกับลูกศิษย์ของหนูดีบ่อย ๆ   มีคนนั่งหลับตาไป ร้องไห้ไป มาหลายคนแล้ว   เพราะเป็นเกมที่ทำให้เราได้ย้อนหลังกลับไปมองชีวิต   ไม่ใช่แต่ต้นจนอวสาน  แต่ว่ามองจากอวสาน มาตอนต้น                  ถ้าพูดเปรียบเทียบเป็นภาษานักธุรกิจก็ต้องบอกว่า  Begin with the end in mind.  ก็คือ การเริ่มต้นมาจากการมองเห็นภาพตอนจบ หรือสัมฤทธิผลของเรื่อง

                เกมนี้เริ่มที่  หนูดีจะขอให้ผู้อ่าน ลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง ในตอนที่เราไม่มีเรื่องรีบร้อนอันใดต้องไปทำ  แล้วให้นั่งลง  หลับตาจินตนาการภาพตัวเรา  ตอนอายุสักแปดสิบ  

โดยให้สมมติว่า  เราจะต้องตายตอนอายุสักแปดสิบ   และตอนนั้น เราเจ็บป่วย นอนอยู่บนเตียง      หลังจากนั้น ให้เราลองจินตนาการ ย้อนกลับไปมองทั้งชีวิตของเราว่า ที่ผ่านมา เราได้ใช้มันไปอย่างไรบ้าง  เราใช้เวลาของเราทำอะไรไป  เราวิ่งตามอะไร  เราวุ่นวายกับอะไร  เรารักใคร เราไม่รักใคร  ความสุข ความทุกข์ของเราเป็นผลจากอะไร

                แต่สองคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะเสียดายที่สุด หากเราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไร ..  เราจะเสียดายที่สุด หากเราไม่ได้ใช้เวลากับใคร

                หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ อย่างกระจ่างชัด   ก็จะมีเวลาบางช่วงที่เราจะไม่ใช้ไปอย่างที่เราใช้อยู่ จะมีกิจการบางกิจการ ที่เราไม่เลือกจะก่อตั้ง มีเพื่อนบางคนที่เราอาจจะเลิกคบ มีเงินบางก้อนที่เราจะปฏิเสธไม่รับสารพัดของสิ่งที่จะเกิดขึ้น     ถ้าเรามีเวลาถอยออกมาจากชีวิต แล้วย้อนกลับไปมองเหมือนกับว่า เรากำลังดูหนังวิดิโอชีวิตของคนอื่นอยู่ แล้วก็วิจารณ์ว่าเขาคนนั้นตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะทำอะไรที่ควรทำ

                ทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคที่ง่ายดายและลึกซึ้ง   เมื่อหนูดีลองทำแล้ว   เป็นประโยชน์อย่างยิ่งถึงขั้นหนูดีเปลี่ยนอาชีพ  เปลี่ยนชีวิต   เพราะจากที่เคยคิดอย่างเด็กอายุยี่สิบ  หนูดีกระโดดข้ามไปคิดแบบแปดสิบได้ ตอนนี้เลยเหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตรอบสอง  โดยอายุยังไม่ครบสามสิบเลย  เหมือนมีสองชีวิตเลยค่ะ

                เมื่อก่อนหนูดีเคยคิดว่า  ความสำเร็จในชีวิตก็เหมือนกับการหาของใส่กล่อง คนเก่งกว่าก็ใช้เวลาเป็น ใช้ชีวิตคุ้ม  ก็หาของมาใส่กล่องได้เร็วและมากกว่าคนอื่น   แต่อีกปัจจัยที่ทำให้กล่องเต็มได้ ที่หนูดีไม่เคยคิดมาก่อนจะเล่นเกมนี้ก็คือ แค่เราเปลี่ยนขนาดกล่องให้เล็กลงซะ มันก็เต็มได้โดยไม่ยากเย็นเลย

                ดังนั้น การใช้สมองให้เต็มที่ คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตมีสุขได้ครบด้านและง่ายดาย น่าจะอยู่ที่ศักยภาพในการถอยออกมาแล้วมองชีวิตจากมุมห่างออกไปอีกหน่อย มองย้อนกลับจากวันสุดท้ายของชีวิตก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง   มันเปลี่ยนชีวิตหนูดีมาแล้ว  ในทางที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์  ด้วยคำถามง่าย ๆ  ไม่กี่คำถาม  

แล้ววันนี้  ท่านผู้อ่านของหนูดีคิดว่า ชีวิตนี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะเสียดายที่สุดคะ   และไม่ได้ใช้เวลากับใครแล้วจะเสียดายที่สุดคะ

 

บทความ ของ วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญอัจฉริยภาพปริญญาโท จากฮาร์วาร์ด

ชอบใจบทความนี้ของหนูดีมากเลยค่ะ เพราะเอามาใช้ในชีวิตเราได้จริง...ลองดูนะค่ะว่าจะมีใครงงและสงสัยบ้าง...

การทำงานวิจัยทางการพยาบาลหลายครั้งที่เรามักหลงทางไปจนหา the end ของเรื่องนั้นๆไม่ได้ แต่ได้เพียง the end of our aspiration

จริงๆในงานวิจัยที่เราคิดจะทำและอยากทำตลอดชีวิตเรานั้นน่าจะเริ่มจาก the end เหมือนกันกับที่หนูดีว่า คำถามที่ชี้แนะเราคือ เราอยากได้the end อะไรที่เราจะเริ่มเดิน และในเมื่ออาชีพของเราเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ (practice) ดังนั้นถ้าเรามี the end ที่ชัดเจนของการให้การพยาบาลผู้รับบริการ  เราก็จะรู้ว่าเราจะเริ่มก้าวเท้าไหนและไปทางใดในทิศทางวิจัย

 K.Kool

ปล.ไอรหัสสุ่มนี้น่าจะเอาออกนะค่ะมันเป็นอุปสรรคในการสร้างสรค์ความรู้สึก...ใส่ผิดๆ (ทั้งๆที่เราว่าถูกแล้วนา) ต้องกลับมานั่งพิมพ์ใหม่อีก หรือจะเอาไว้ฝึกความอดทน

ขอบคุณ คุณK.Koolมากคะ ตอนนี้มีเด็กที่ดูแลอยู่คนหนึ่งพยาบาลคิดว่าวิกฤตทีเดียวอยากให้น้องเขาได้เขามาระบายความรู้สึกนึกคิดเพื่อคนรอบข้างจะได้เข้าใจน้องเขามากขึ้น  แต่คงต้องรอเวลาที่เหมาะสมถ้ามีเวลาคุณK.Kool ช่วยเข้ามาช่วยสะท้อนมุมมองและแนวคิดของเด็กๆด้วยนะคะ  ส่วนเรื่องรหัสนัยว่าเพื่อความปลอดภัยพยาบาลPCUก็ไม่เข้าใจกลไกระบบว่าเป็นอย่างไร ดร.จันทวรรณ ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยคะ

หนูก็เป็นเด็กคนนึงที่ย้ายจากร.รอื่นมาสู่รั้วญ.วในช่วงม.2ครอบครัวของหนูกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนหลังจากย้ายไปอยู่ที่อื่นหลายปี พ่อกับแม่ทุ่มเทเวลาให้กลับการทำงานจนบางครั้งก็ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวที่ร.รหนูต้องเจอกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งเพื่อนที่มีนิสัยไม่เหมือนเก่าคุณครูคนใหม่สถานที่ใหม่ๆ มันต่างกับร.รก่อนเหลือนเกินสภาพการใช้ชีวิตที่นี้ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันอาจด้วยเพราะเป็นร.รใหญ่กระมั้ง ด้วยความเครียดในการปรับตัวเข้ากับอะไรหลายๆอย่างไม่ได้ทำให้หนูกินอะไรก้ไม่ลงไม่พูดไม่จากับใครอยู่แต่ในห้อง ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือประมาณ37กิโลกรัม ช่วงมีสอบหนูยิ่งอาการหนักต้องหิ้วปีกไปสอบเพราะระหว่างสอบก็มีอาการไมเกรนขึ้นช่วงปิดเทอมที่บ้านช่วยกันคิดว่าจะช่วยหนูยังไงแม่ก็ติดต่อทุกๆร.รที่รู้จักทั้งกทมและหลายๆจังหวัดแต่หนูก็เลือกอยู่ญ.วต่อเพราะหนูรู้ว่าที่ร.ร.มีคุณครูที่รักหนูหลายคนคอยดูแลหนูถึงหนูจะเกรงใจที่สร้างความเดือดร้อนให้มากและญาติพี่น้องที่รักหนูมากที่สุดทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นจนกระทั้งม.3เพื่อนๆเปลี่ยนไปคุณครูคนใหม่อีกแล้ว ที่สร้างความเครียดมากๆๆให้กับชีวิตหนูเพื่อนๆเริ่มไม่ค่อยคุยกับหนูเพราะเวลาคุยกันเราไปกันคนละทางคุณครูก็ไม่คุ้นเคยเหมือนเก่าด้วยความที่ทำอะไรคนเดียวตลอดหนูก็เริ่มเครียดอีกพอเครียดก็ดึงเกรดสวยๆของหนูให้ตกลงมาเป็นพ่วงพอเจออย่างนี้ชีวิตของคนที่เจอแต่สิ่งดีๆมาตลอดทำอะไรดีทุกอย่าง ก็ทำให้หนูรับไม่ได้จนคิดตายไปให้มันรู้แล้วรู้รอดดีที่มีคนมาช่วยไว้หลายคนหนูก้อยังมีปัญหายังนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั้งครอบครัวเริ่มทะเละกันเพื่อนก็ทะเลาะกันอีกทั้งที่ปกติหนุจะไม่เคยว่าใครเลยถ้าไม่โกรธจริงๆทะเลาะยิ่งไม่มีมันยังเป็นตราบาปต่อเพื่อนคนนั้นที่ช่วยหนูทุกอย่างถึงเค้าจะไม่ว่าอะไรเพื่อนเริ่มมองว่าหนูโง่ และไม่มีคนคุยกับหนุด้วยหนูก็ไม่อยากไปร.ร.อีกหนูก้ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังถึงเหตุผลทั้งพี่ที่สนิท ญาติ พ่อแม่จนหนูหลุดปากบอกที่ร้านส้มตำแม่รีบโทรไปหาเพื่อนทันทีพอหนูรู้ก้โมโหมากแต่ก็ไม่ว่าอะไรเพื่อนบอกว่าหนูชอบปลีกตัว ก็เค้าทิ้งหนูให้ทื่อหนุก็ต้องปลีกตัวสิ แต่หนูก้อเลือกที่จะไม่สนใจเพราะในชีวิตหนูมีพี่มีน้อง ญาติ คุณยาย คุณป้า พ่อแม่ที่รักหนู เค้าไม่รักหนูหนูก็มีเพื่อนแท้อยู่หลายคนแค่นี้ก็พอแล้ว

 

 

 

 

 

 

พยาบาลดีใจที่ได้อ่านบทเรียนของน้องเคโรโระ  เด็กๆอีกหลายคนที่มีปัญหาคล้ายๆกันแต่ไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าบอกให้ใครรู้ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวเองเลย  เราอยู่ในสังคมไทยสังคมของเรามีลักษณะเด่นที่นานาประเทศยกย่องว่าเป็นสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อเอื้ออาทร  แต่โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน แม้แต่สังคมในโรงเรียนของเด็กๆก็ไม่วายเปลี่ยนเด็กแทบจะไม่มีเวลาที่จะมองเห็นความรู้สึกของคนข้างๆเพราะมุ่งกับภาระกิจของตัวเองเพื่อให้ไปสู่จุดสูงที่สุด แต่ในความเป็นจริฝของโลกคนเรานั้นแตกต่างกันไม่มีทางที่เราจะเหมือนกันได้ เราทุกคนต่างมีลักษณะ individaul (เฉพาะตัว) เราจะทำอย่างไรให้สังคมโรงเรียนกลับมาเป็นต้นแบบของสังคมเอื้อเฟื้ออาทรดังเดิมให้คนดีมีที่ยืนอยู่ในสังคม ไม่ไช่มีแต่ที่สำหรับคนเก่งเท่านั้น น้องเคโรโระเรามาช่วยกันนะ อย่าคิดว่าเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ สังคมต้องเริ่มจากหน่วยเล็กๆอย่างเราๆนี่แหละคะ  ผู้ใหญ่ก็ต้องฟังเด็กเช่นเดียวกับที่เด็กก็ต้องฟังผู้ใหญ่เราต้องฟังกันด้วยใจ  แล้วแวะมาคุยกันอีกนะคะยินดีต้อนรับเสมอ

น้องเคโรโระคนเก่ง

ป้าอ่านเรื่องราวของหนูแล้ว ป้าว่าหนูเก่งมากนะที่เอาชนะมันมาได้แล้วอย่างน้อยครั้งนึงเมื่อเข้าม.2...สู้ๆนะน้องเคโรโระ...ส่งกำลังใจมาให้ค่ะ

หนูเองเป็นเด็กฉลาด ป้าขอยืนยัน นั่งยันและนอนยัน หนูมองดูตัวเองนะ...หนูสามารถมองและวิเคราะห์เหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งยากนักที่วัยรุ่นจะหันมามองได้อย่างทะลุยังงี้...ป้าละนับถือจริงๆเลย...

แล้วตอนนี้หนูเป็นยังไงบ้างค่ะ...ป้าเป็นห่วง

 

 

  ถึงเคโรโระเพื่อนรัก

     มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กญ.ว. อย่าคิดมากเลย ใต้หญ้ายังมีดิน ใต้ดินยังมีน้ำ ใต้น้ำยังมี...... มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ดีแล้วที่รู้จักให้กำลังใจตัวเอง พวกเรายินดีจะเป็นเพื่อนเคโรโระนะ ถ้าวันหลังมีเรื่องไม่สบายใจก็มาเล่าให้พวกเราฟังกันได้นะ

 พยาบาลPCU ได้รับจากเพื่อนที่รู้ว่าสนใจเรื่องนี้เลยช่วยหาส่งมาให้คะ  ลองอ่านดูคะบทความแรกทุแห่งที่มีคำว่า"งาน"อยู่สำหรับนักเรียนให้เปลี่ยนเป็น"เรียน" พยาบาลว่ามันก็ไม่ต่างกันมาก  ส่วนบทความที่2 ลองไปดูว่าคนที่อัจฉริยะเขาคิดยังไง  เหมือนหรือต่างกับเรา แล้วค่อยเอาไปปรับใช้กับตัวเรานะคะ----- Forwarded Message ----
From: "Napapisootporn,Noppasit" <
[email protected]>
Sent: Wednesday, September 5, 2007 11:27:41 AM
Subject: FW:
อยากให้อ่านมากๆๆๆๆๆ.......คนมีทุกข์ เพราะอะไร....Subject: อยากให้อ่านมากๆๆๆๆๆ.......คนมีทุกข์ เพราะอะไร....ระยะนี้มีหนุ่มสาวไฟแรง ที่เคยเรียนดีทำงานเก่งมาปรึกษาหลายคนด้วยอาการเพลียใจไม่ค่อยมีแรง ไม่สดชื่นเหมือนที่เรียกว่าขาดไฟนั่นแหละ  พวกนี้เรียนจบปริญญา ทำงานในบริษัทใหญ่ๆมีชื่อเสียง ทุกคนทำงานแข่งขันกับเองและเพื่อนร่วมงาน  แลดูเหมือนน่าจะมีความสุข แต่ทำไมยิ่งทำไปๆรู้สึกเพลียมากขึ้นผมสอบถามดูได้ความว่า เขารู้สึกว่าเขาทำงานหนัก มีประชุมบ่อย เวลาพักผ่อนน้อย บางคนจะมีแฟนก็ไม่มีเวลาให้แฟนเลย เลิกกันไปก็มี   พวกที่หาแฟนไม่ได้ก็ไม่มีโอกาสหาแฟนแต่ประโยคที่เขาพูดคล้ายๆ กันก็คือ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องมาทำงานหนักเช่นนี้ เงินเดือน แม้จะได้มากขึ้น แต่ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้นยิ่งทำมากแต่แลดูเหมือนได้เงินน้อยลง อนาคตก็ไม่เห็นจะร่ำรวย  เขาอยากทำงานเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ เช่น เกี่ยวกับการให้เช่าหรือขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งน่าจะรวยกว่า และมีเงินเก็บได้มากกว่า แต่ก็ยังไม่พร้อมและขาดประสบการณ์       คนเหล่านี้เป็นพวกสมองไว คิดมากและคิดซับซ้อน  ความเพลียเกิดจากความสับสนในตัวเอง เกิดความขัดแย้งในตัวเองว่าจะทำอะไรดีจะทำงานเก่าต่อไป หรือจะลาออกหางานใหม่ สมองฉลาดพอที่จะมีคำตอบว่าสิ่งใดดีกว่าแต่ตัวเองไม่พร้อมจะทำสิ่งนั้น ไม่กล้าลอง และไม่กล้าทิ้งงานเก่า  เขาจึงเกิดความขัดแย้ง(Conflict) ในใจตลอดมา  ความขัดแย้งที่มีอยู่ประจำ ทำให้ตัดสินใจยาก เกิดเป็นความเครียดสะสมมากขึ้น เมื่อเกิดความเครียด เขาจะขาดสิ่งสำคัญ 3 อย่าง คือ1) ขาดพลังงาน ทำให้รู้สึกเพลีย เหนื่อยง่าย และหน่ายชีวิต                                              2) ขาดความคิดสร้างสรรค์ คิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่อยากคิด                                             3) ขาดความรักตัวเองและเพื่อนมนุษย์ทำให้ขาดความกระชุ่มกระชวยขาดความกระตือรือร้น นี่คือสาเหตุของความเพลียในทุกๆเช้าที่ลืมตาขึ้นมา และเพลียมากขึ้นในช่วงเริ่มทำงานตอนกลางวัน พอเลิกงานก็เพลีย กลับบ้าน กินข้าว ดูทีวี แล้วก็นอนทำจนเป็นกิจวัตรประจำวันที่จำเจบางคราวมีงานทำน้อย ก็รู้สึกเพลียและคิดว่าตัวเองไร้ค่า ผมสอนให้เขายอมรับตัวเองว่า  ขณะนี้เขาเป็นอะไร แค่ไหน  การเรียนรู้ทำให้ได้   ประสบการณ์ อุปสรรคทำให้เกิดความเข้มแข็งในอนาคต ทุกอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบันจะมีทั้งสิ่งดีและไม่ดี แต่ต้องรู้จักเลือกมองสิ่งดีให้มากขึ้น  ไม่ใช่นั่งจ้องมองสิ่งไม่ดี-ไม่ชอบซ้ำๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความหน่าย และเบื่อหน่ายทุกอย่าง  สอนให้มองโลกในแง่ดีว่าต้องมีทางออกที่ดีๆ สอนให้มีอารมณ์ขันอย่าไปจริงจังกับชีวิตมากนัก จะยิ่งเครียดมากขึ้นและ      ให้ปรับตัวเข้าหาสภาพความเป็นจริง ให้ออกกำลังกาย มองโลกในแง่ดี รู้จัก สร้างความหวัง และลดความคาดหวังที่มากๆ ลงเสีย  คนพวกนี้ผ่านชีวิตวัยเด็กที่ได้ทุกอย่างง่ายๆ  และได้อย่างรวดเร็วเช่น เรียนจบได้เร็ว พอเป็นวัยรุ่นก็สนุกกับชีวิต พอมาพบปัญหาของชีวิตจริงเข้า ก็ไม่อยากยอมรับ เริ่มมองเห็นทุกข์ การจะปรับตัวให้รับความจริง รู้จักตั้งความหวังและยอมรับให้ได้ว่า แม้จะทำเต็มที่แล้วก็อาจไม่ได้ดังใจนึก เป็นสิ่ง ที่เขาต้องเข้าใจ และทำใจยอมรับให้ได้ เขียนถึงตรงนี้แล้ นึกถึงบทกวีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เคยประพันธ์เอาไว้ว่า ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุก                         เป็นหนุ่มสาวก็แสนสุข ค่ำเช้า               กลางคนเริ่มเห็นทุกข์ สุขคู่ กันนอ                         ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วน อนิจจัง                      มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้ารู้ความจริงและยอมรับธรรมชาติของมนุษย์ได้ดังบทกวีข้างบนนี้ จะไม่ทุกข์มากนักหรอกครับ ไม่ต้องรอให้ตกตอนแก่แล้วจึงค่อยรู้เค้าว่า ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอนหรอก ใครรู้และยอมรับได้เร็ว ก็ทุกข์น้อยลง หายเพลียใจได้ทันที

Subject: เข้าใจตัวเองเข้าใจตัวเอง ชื่อของ "วนิษา เรช" คงคุ้นหูกันแล้ว เพราะเธอคือหนึ่งใน "อัจฉริยะชั่วข้ามคืน" รายการทีวีชื่อดังในค่ำคืนวันจันทร์                                                                                                                วันนี้เธอเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อ "อัจฉริยะสร้างได้" ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดว่าขายดีมากเล่มหนึ่งหนังสือเล่มนี้เน้นในการพัฒนาอัจฉริยภาพ 8 ด้านเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอัจฉริยะ  แต่เธอเชื่อว่า  อัจฉริยภาพในการเข้าใจตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนอัจฉริยภาพทั้งหมดที่มนุษย์จะพึงมีได้ "จากประสบการณ์ที่เห็นคนเก่งมามาก กลุ่มคนเก่งที่เห็นแล้วสงสารที่สุดก็คือ คนที่เก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่ไม่รู้อยู่เรื่องเดียวคือ ชีวิตตนเอง" "วนิษา เรช" เห็นว่า ยิ่งถ้าคุณเป็นคนเก่ง คุณก็ยิ่งต้องมีทักษะ มีเครื่องมือในการจัดการดูแลอารมณ์ตัวเองให้ดีขึ้นยิ่งกว่าคนปกติ "เพราะโอกาสที่คนเก่งจะประสบความสำเร็จมีสูง เมื่อประสบความสำเร็จมากก็ยิ่งต้องดูแลลูกน้องหรือลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้อารมณ์ที่เป็นของส่วนตัวแท้ๆ กลับกลายเป็นของส่วนรวมไปได้" และตัวตนที่แท้จริงเป็นสิ่งที่เราสามารถดูแลและสร้างสรรค์ได้ ไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิต  เธอชี้ว่าต้องรู้เป้าหมายของชีวิตตนเองชัดเจน  แล้วก็พัฒนาความรู้ความเข้าใจในตัวเอง ในด้านศักยภาพ ความสามารถที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รู้จุดดีจุดด้อยของตน และสามารถวางแผนในการพัฒนาความสามารถของตนเองได้ รวมทั้งต้องบริหารจัดการเวลาชีวิตของตนเองได้ Begin with the end in mind หาเวลาว่างๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงบ แล้วลองหลับตานึกภาพอนาคตของตัวเองให้ไกลที่สุด แต่ให้ชัดเจนที่สุด บั้นปลายชีวิตเรา เราอยากมีชีวิตอย่างไร มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างไรบ้าง ทำอะไรบ้าง  "เมื่อภาพนั้นชัดเจน นั่นคือเป้าหมายของชีวิตที่เราจะรักษาไว้ และวางยุทธวิธีที่จะก้าวไปถึงจุดนั้น Self SWOT analysis  เอาหลักการบริหารธุรกิจเรื่องการวิเคราะห์จุดแข็ง (strengths) จุดอ่อน (weaknesses) โอกาส (opportunities) และอุปสรรค (threats) มาวิเคราะห์ตัวเราเองเพื่อจะได้พัฒนาศักยภาพและใช้โอกาสของตนได้ถูกจังหวะ  เธอได้แนะว่าควรตั้งเป้าหมายแบบไคเซน นั่นคือวางเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทีละน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่อง แล้วอาจจะกำหนดวันใดวันหนึ่งในรอบเดือนเพื่อเป็นวันให้รางวัลกับตัวเอง "อย่าคิดว่าจะประสบความสำเร็จอย่างไร ในรูปแบบไหน แต่ให้คิดว่าตอนนี้มีเรื่องอะไรที่ท้าทายเราที่สุด เรื่องอะไรที่เราอยากรู้มากที่สุด อยากหาคำตอบที่สุด อะไรที่เราไม่ได้ทำแล้วจะเสียดายมากที่สุด แล้วให้ทำสิ่งนั้น อย่าคิดถึง 5 ปีข้างหน้า และอย่าคิดว่ารางวัลอะไรรอเราอยู่" นี่เป็นมุมมองของอาจารย์คนหนึ่งสอน "วนิษา เรช" และเป็นมุมมองที่แมตช์กันได้ดีกับ "ทุนมนุษย์" ยุคนี้ ส่วน "วนิษา เรช" ย้ำว่าอัจฉริยภาพด้านไหนก็ไม่สำคัญเท่าด้านการเข้าใจตนเอง เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงตนเองโดยสิ้นเชิง
Karoro การ์ตูนที่หนูชอบอยู่

หนูขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องของหนูและให้

กำลังใจหนูทุกคนนะค่ะ ตลอดนี้อารมณ์หนูเริ่มดีขึ้น

แล้วตามลำดับถึงจะไม่ดีเท่าที่ควร บ้างทีหนูก้ออาจ

ไม่ค่อยเข้าใจเพื่อนว่าทำไมต้องแกล้งทำอย่างนี้หรือ

ทำลายจิตใจหลายๆคนในห้องมันทำให้เสียใจกัน

หลายๆคนร่วมทั้งหนูด้วย หนูเป็นเด็กชอบเก็บคำพูดคน

อื่นมาเก็บไว้แล้วเครียดซึ่งไม่ดีเท่าไรก็กำลังแก้อยู่มี

ป๊าคอยช่อย......หนุว่าสังคมมันไม่วิ่งตามเราแต่เราน่า

จะค่อยเดินตามมากกว่าแต่อย่าทิ้งตัวตนเราไปนะ

เพราะถ้าวิ่งตามไปเลยมันเหมือนเราใส่หน้ากากทำมัน

ไม่มีความสุขเดี๋ยวก้อเครียดอีกป๊าบอกค่อยเรียนรู้ไปซึมซับไป

หนุได้ดุละครเรื่องนึงเป็นละครเด้กย้ายมาใหม่เค้าก็มีปัญหาโดนเพื่อนแกล้ง ไม่มีคนคุยด้วยอ่ะนะ

ก้อมีเพื่อนมาคุยกับเค้าคนนึงเป็นคนที่ป็อปแต่ใช้ชีวิตแบบหรอกลวงไม่จริงใจ

ก้อ2คนนี้ก้อช่วยกันทำให้อีกคนเข้าหาสังคมอีกคนก้อช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างจริงใจหน่อยกับคนอื่น

หนูก้ออธิบายไม่ถูกนะแต่รู้สึกได้อะไรดีๆขึ้นมาเยอะ

ในการใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขถึงหนูจะยังทำไม่ได้เต็ม100อ่ะนะ

ตอนนี้ในห้องมีเพื่อนคนนึงเค้าทะเลาะกับเพื่อนสนิท

หนูไม่รู้จะช่วยยังไงดีเพราะเอ่อหนุไม่รู้เริ่มพูดยังไง

แต่รู้รู้ว่าช่วงนี้เค้ามีปัญหาอยู่ก็อยากช่วย

ถึงคนที่กำลังเครียดหรือซึมเศร้า

รู้ว่ามันทรมานขนาดไหนมันเหมือนโลกโหดร้ายกับเรา

เหลือเกินไม่รู้อยู่ไปทำไม แต่อยากให้

 บอกป๊ากะม๊านะหรือคุณครูก้อได้หรือคนที่สนิท

อย่าอายเพราะคนเหล่านั้นช่วยเราแก้ปัญหาได้และเข้าใจเราถึงจะไม่เท่าที่เราต้องการ แต่ก้อยังดี

แล้วใครที่คิดฆ่าตัวตายมันเป้นบาปมากนะจะตกนรกใช้กรรมไปกี่ปีในนรก 1วันในนรกเท่ากับกี่ปีในโลกไม่รู้

ถ้าไม่ตายพิการนะ

หนูใช้ภาษาแนะนำไม่ค่อยดี ไม่เป้นไรนะ

 

วันนี้ผมมาเล่นลิเกฮูลูกับเพื่อนอีก24คน จากโรงเรียนบ้านคลองหิน  ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องของพี่ๆ  ผมยินดีเป็นกำลังใจให้ครับ
ทีมเพลงเรือจาก ร.ร.บางกล่ำวิทยา รัชมังคลาภิเษก.

ก็เหมือนกับพวกเรานี้แหละ ที่รู้สึกหนักใจเคลียดในด้านอารมณ์  สังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ๆและเพื่อนใหม่ พวกเราก็ขอให้กำลังใจเธอนะ  หากมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเราได้นะคะ จากทีมเพลงเรือ ร.ร บางกล่ำวิทยา รัชมังคลาภิเษก.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท