ชีวิตนี้มีทางเลือก


แล้วพวกเราหละ เกิดมาชาตินี้ถือว่าประเสริฐสุดแล้วเพราะมีโอกาสได้เลือก เราจะเลือกไปทางไหนกันดี ไปทางต่ำ(ทุคติ)เป็นเดรัจฉานเป็นเปรต หรือไปทางสูง(สุคติ)เป็นมนุษย์เป็นเทพ หรือว่าไม่ไปไหนหละ อยู่เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายไปวัน ๆ อย่างนี้แหละ

          อันที่จริงชีวิตหมายเอาทั้งร่างกายและจิตใจ แต่กายขึ้นอยู่กับใจ ดั่งคำโบราณว่าไว้ "จิตเป็นนาย-กายเป็นบ่าว" และพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา - ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จลงแล้วด้วยใจ" ตอนที่ 4 นี้ จึงขอพูดถึงเรื่องจิต/เรื่องใจอีกครั้ง ด้วยเชื่อว่า ถ้าเอาชนะใจตนเองได้แล้ว ส่วนอื่น ๆ สบายมากครับ
          ถ้าเราเอาจิต/ใจเป็นที่ตั้ง แล้วคัดแยกทางไปแห่งชีวิตนี้ ก็จะได้เป็นระดับ ๆ ไปดังนี้ครับ
          ระดับที่ 1  มนุสสเปโต กายเป็นมนุษย์+จิตเป็นเปรต ไม่เห็นประโยชน์ใครเลยแม้ตัวเอง ฆ่าตัวตายได้ พวกนี้
          ระดับที่ 2  มนุสสติรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์+จิตเป็นเดรัจฉาน เห็นแต่เฉพาะประโยชน์ตน คนอื่นไม่สน ของข้าใครอย่าแตะ
          ระดับที่ 3  มนุสสมนุสโส กายเป็นมนุษย์+จิตเป็นมนุษย์ เห็นทั้งประโยชน์ตนและคนอื่นไปพร้อมกัน พวกนี้อยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข
          ระดับที่ 4  มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์+จิตเป็นเทพ เห็นแต่ประโยชน์คนอื่น เสียสละให้ผู้อื่นได้แม้ชีวิต มีคุณพ่อคุณแม่ของลูก ๆ เป็นอาทิ
          "คน" เห็นว่าอยู่ระหว่างระดับ 2 - 3 มี "คุ้มดี" และ "คุ้มร้าย" ครับ
          บางครั้งก็ "คุ้มร้าย" มีใจเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตไปโน่นเลย โลภ-โกรธ-หลงเพียบ บางคราวหลงจนฆ่าตัวตายก็มีเยอะ แต่บางครั้งก็คุ้มดีครับ มีจิตใจเป็นมนุษย์เป็นเทพ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละต่อเพื่อนมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีอีกพวกหนึ่งนะครับ พวกนี้ไม่รู้สึกดี-รู้สึกร้ายกับใคร มีชีวิตที่ทื่อ ๆ ไปวัน ๆ พวกนี้ก็คือ "คนบ้า" ไงครับ
          ยังไงก็ตาม ใครมี 4 ระดับข้างตนนี้ก็ถือว่ายอดคนหละครับ สูงขึ้นไปจากนี้ ถือว่าเป็นพระ

          ระดับที่ 5  สุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี (ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์สอนไว้)
          ระดับที่ 6  อุชุปฏิปันโน ผู้ปฏิติตรง (ตามพระวินัยหรือศีลที่พระพุทธองค์สั่งไว้)
          ระดับที่ 7  ญายปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติเพื่อความออกจากทุกข์ (เคร่งครัดในอริยสัจ 4 โดยมีมรรค 8 เป็นทางไป)
          ระดับที่ 8  สามีจิปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติสมควร (สมควรแก่สมณะวิสัย หรือสมควรแก่สภาวะที่ตนเองเป็นอยู่)
          มีมาถึง 8 ระดับนี้ ก็ถือว่าเป็นพระ(มีใจเป็นพระ) หรือถ้าบวชก็เป็นพระสงฆ์ เรียกว่า "สมมติสงฆ์" สูงขึ้นไปจากนี้ ถือว่าเป็นอริยะ อริยบุคคล - อริยสงฆ์ - อริยเจ้า

          ระดับที่ 9  โสดาบัน  (โสดาปัตติมรรค และ โสดาปัตติผล)
          ระดับที่ 10  สกทาคามี  (สกทาคามีมรรค และ สกทาคามีผล)
          ระดับที่ 11  อนาคามี  (อนาคามีมรรค และ อนาคามีผล)
          ระดับที่ 12  อรหันต์  (อรหัตตมรรค และ อรหัตตผล)
          มีมาถึง 12 ระดับนี้ ก็ถือว่าเป็นพระอรหันต์ (ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง) สูงขึ้นไปจากนี้ก็ "พระพุทธเจ้า"
          แล้วพวกเราหละ เกิดมาชาตินี้ถือว่าประเสริฐสุดแล้วเพราะมีโอกาสได้เลือก เราจะเลือกไปทางไหนกันดี ไปทางต่ำ(ทุคติ)เป็นเดรัจฉานเป็นเปรต หรือไปทางสูง(สุคติ)เป็นมนุษย์เป็นเทพ หรือว่าไม่ไปไหนหละ อยู่เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายไปวัน ๆ อย่างนี้แหละ

หมายเลขบันทึก: 114241เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2007 07:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

เรียนอาจารย์ที่เคารพ.

       อาจารย์เมตตามากที่กรุณาเขียนเรื่องดีๆมาให้ได้อ่านกัน ถ้าหากใครอยากเป็นมนุษย์แบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจปรารถนา  อ่านเองมนุษย๋ที่อาจารย์เขียนมา แถมได้ฟังเพลงบรรเลงที่ไพเราะด้วย ยิ่งดีเข้าไปกันใหญ่  รออาจารย์นำมาเขียนให้อ่านอีกน่ะขอรับ.

ค้วยความเคารพอย่างยิ่ง.

ขอบคุณมากคุณยุทธศักดิ์ ว. ที่เข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ ผมได้ตั้งใจไว้ว่า จะรวบรวมความคิดเห็นของผมที่ได้นำเสนอหรือขายความคิดไว้ในที่ต่าง ๆ หลายรูปแบบ ทั้งพูด ทั้งเขียน นำมารวมกันไว้ในที่นี้ในโอกาสต่อไป ยิ่งคุณยุทธศักดิ์มาให้กำลังใจเช่นนี้ เห็นทีจะรีบดำเนินการแล้วหละครับ

ขอเป็นคนที่ไม่ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องต้องเสียใจก็พอแล้วครับอาจารย์ เพราะถ้าเราไม่เริ่มที่ตัวเราแล้ว  เราก็ไม่รู้จะไปสอนคนอื่นทำไม เพราะว่าตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย เฮ้อ.............กมฺมุนา วตฺตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เป็นอย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้จริงๆๆๆ

ใบฎีกา.............

ดีแล้ว ถูกแล้วที่ต้องเริ่มต้นที่ตนเอง ไม่ทำให้คนอื่นและตนเองเดือดร้อน ก็ "สุคติ" แล้วหละครับ ไม่ต่ำแน่นอน (เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเซี๊ยะแล้วเรา)

สวัสดีค่ะ

อยากเป็นระดับที่ 4  มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์+จิตเป็นเทพ เห็นแต่ประโยชน์คนอื่น เสียสละให้ผู้อื่นได้แม้ชีวิต มีคุณพ่อคุณแม่ของลูก ๆ เป็นอาทิ


และระดับที่ 5  สุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี (ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์สอนไว้)

แต่คงไม่ได้ เพราะบวชไม่ได้และต้องถือศีลแบบพระด้วย บุญไม่ถึงค่ะ

สวัสดีครับ คุณ sasinanda
          เราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้เป็นชาติที่มีโอกาสดีที่สุดแล้ว คือมีโอกาสเลือกทางไป "สุคติ" หรือ "ทุคติ" และคนเราไม่จำเป็นต้องบวชครับ คฤหัสถ์นี่แหละสามารถไปได้ถึงอรหันต์ เขาวัดกันที่"จิต"ครับ
          การบวช เป็นทางหนึ่งที่ทำตัวให้หลุดจากภาระอันหนักในการครองเรือน คือเพื่อทำให้ตัวเองมีเวลาและมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น คฤหัสถ์เช่นเรานี้ก็สามารถปลดเปลื้องภาระเหล่านั้นลงได้ถ้า "จัดการชีวิต" เป็น
          ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ พระพุทธองค์ยังบำเพ็ญเพียรตั้งหลายชาติ จนถึง 10 ชาติสุดท้าย ตามที่เรารับรู้กันโดยยทั่วไปนั่นแหละ

สวัสดีเช่นกันครับคุณข้ามสีทันดร
ดีใจมากที่ท่านเข้ามาเยี่ยมเยียน วันหลังคงได้รับข้อคิดความเห็นจากท่านด้วยนะครับ

ขออนุญาตท่านอาจารย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณพี่sasinandaP ในบันทึกของอาจารย์นะครับ

  • ครูบาอาจารย์ของผม ท่านแนะนำว่า ให้เราตั้งเป้าหมายในการพิชิตยอดธงเลยครับ ได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอให้จิตเราตั้งมั่น แน่วแน่ในเป้าหมายสูงสุดไว้ก่อนครับ 
  • ขอบพระคุณครับ 

 

  เรียนท่าน ผอ. ทนัน

   คำว่า พระธรรม แปลว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า....เราพอสรุปคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาลงตรงที่ว่า ...ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ถูกต้องหรือไม่..

   คำว่า ธรรม(ธรรมะ) แปลว่าธรรมชาติ ใช่หรือไม่ครับ  ถ้าใช่  ก็คงสรุปได้ว่า ธรรม คือการศึกษา ค้นคว้า  วิเคราะห์ ไตร่ตรอง  ทดลอง  ทำจริง  รู้จริง  ด้วยตัวเอง  รู้อย่างดี มีเหตุผล อ้างอิงได้ แล้วสามารถนำความถูกต้องเป็นจริงมาปฏิบัติทำให้มีชีวิต ที่สงบสุขมั่นคง   ใช่หรือไม่ครับ 

 

โอ้โฮ... มาเป็นชุดเลยนะครับ ที่อาจารย์ว่ามาทั้งหมด ถูกต้องแล้วครับบบบ...
"พระธรรม" เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ท้าให้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง แล้วจะพึงรู้เองเห็นเองโดยไม่จำกัดกาลเวลา
สวากขาโต ภควตา ธัมโม : พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก : เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อกาลิโก : เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก : เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
โอปนยิโก : เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตน
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ติ : เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ฯ
เข้ามาอ่านตามที่ อ. แนะนำคะ
อ่านแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนอยู่ เพราะอยู่ในระดับ 3 และ 4
เคยได้ยินมาว่าจิตใจคนเราเหมือนกับน้ำ มักจะชอบตกลงสู่ที่ต่ำ เพราะฉนั้นจึงต้องหมั่นสำรวจจิตใจตัวเองอยู่เสมอ ไม่ให้ไหลลงสู่ที่ต่ำ ต้องสำรวมกาย สำรวมใจ ให้ยึดมั่นในสิ่งที่ดีงาม .....
ขอบคุณ อ. ที่ให้ความรู้เรื่องนี้คะ แล้วจะติดตามอ่านเรื่องต่อ ๆ ไปอีกนะคะ
  • ขอบคุณมาก P ที่มาเยี่ยม
  • "สติ" ตัวเดียวครับที่จะทำให้เราอยู่ในระดับใด มีสติก็คือไม่ประมาท
  • "เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" (ปัจฉิมพุทโธวาท)
  • เห็นด้วยครับ จิตใจคนเราเหมือนน้ำ มักไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ต้องติดปั๊มคือ "สติ" ครับ ยกให้มันไหลขึ้นสู่ที่สูงไว้
  • ทำตัวให้เหมือนน้ำก็ดีนะ น้ำโดยธรรมชาติของมันแล้ว
    ใส : ไม่มีสีเจือปน เป็นคนต้องทำตัวให้โปร่งใส
    สะอาด : ไม่มีสิ่งเจือปน ใช้ดื่มใช้ล่างได้ คือนอกจากตัวมันสะอาดและยังทำให้สิ่งอื่นสะอาดได้ด้วย คนเราทำได้เช่นนี้ เยี่วมครับ "สะกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข"
    เย็น : ดับร้อนดับกระหายได้ คนเราถ้าเย็นและเป็นที่พึงต่อคนอื่นได้ ย่อมมากไปด้วยบริวารผู้ซื่อสัตย์และเพื่อนร่วมงานที่แสนดี
    ยืดหยุ่น : น้ำปรับตัวได้ตามภาชนะที่มันอยู่ คนเราก็ต้องรู้จักยืดหยุ่นปรับตัวได้ตามสถานการณ์แวดล้อม อันจะส่งผลให้มีชีวิตที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ในสังคมอย่างเป็นสุข
    เสมอ : น้ำจะมีปกติคือเสมอ ไม่เอียง แม้ภาชนะที่ใสจะเอียงแต่น้ำก็ยังคงเสมอ คนเราก็เช่นกัน ควรวางตนให้เสมอไม่ถือตัว และเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งต่อหน้าและรับหลัง
  • ที่สำคัญ น้ำเป็นบ่อเกิดของสรรพชีวิต และควรระวังอย่าให้น้ำเน่า ถ้าน้ำเน่าเมื่อไหร่? ตายหมด
Ico32
สวัสดีครับคุณอรุโณทัย กศน. ตำบลพระยืน :แหล่งเรียนรู้ราคาถูก
ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยมและมาให้กำลังใจ
เมื่อยามท้อ ก็ต้องคอยสำรวจและให้กำลังใจตัวเอง
ยิ่งมีท่านมาให้กำลังใจเช่นนี้ ก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆขอรับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท