สมัยเด็กๆ ผมคิดว่าผู้พิพากษาตัดสินคดีถูกต้องเสมอ ท่านมีความรู้มากและแม่นยำ ย่อมไม่ตัดสินผิด ผมคิดว่าผู้พิพากษาคงจะฟังความอย่างดีแล้วจึงตัดสิน คงจะไม่เหมือนแม่ผมที่บางครั้งไม่ได้ฟังความก็ตัดสินลงโทษจำเลยคือผมเสียแล้ว เพราะแม่เชื่อว่าผมซน และคงจะทำอะไรแผลงๆ อีกแล้ว
ต่อมาเราได้ยินว่าเวลามีคดี มีการเอาเงินไปวิ่งเต้นที่อัยการ หรือที่ผู้พิพากษา ทำให้หลุดคดีได้ เท็จจริงไม่ทราบ เพราะได้ยินตอนเป็นเด็ก ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็ทำให้เราเชื่อตามสุภาษิตว่า "อันว่าเหล็กแข็งกระด้าง เอาเงินง้างอ่อนตามความประสงค์" ที่ผมท่องได้ตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียนเตรียมฯ
เมื่อสิบปีเศษมาแล้ว ศ. นพ. ประเวศ วะสี พูดบ่อยๆ ว่าองค์กรที่มีอำนาจ มักไม่เรียนรู้ ศาลมีอำนาจมาก จึงมีจุดอ่อนตรงที่ไม่เรียนรู้ ทำให้ศาลไทยล้าหลัง เปลี่ยนแปลงไม่ทันความเปลี่ยนแปลงในสังคม
ในช่วงการเมืองสกปรกในเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา นักการเมืองมักอ้างว่า สิ่งที่ตนทำลงไปไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีกฎหมายใดๆ ห้ามไว้ เป็นการหลบเลี่ยงทำสิ่งที่ตนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ โดยอ้างว่าทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณยุวดี คาดการณ์ไกล แห่ง มสช. ฝากหนังสือ "ตุลาการภิวัตน์" คันฉ่องส่องตุลาการไทย ฉบับ ตุลาการตีความข้ามตัวบท & ตุลาการวางนโยบายสาธารณะ เขียนโดย พิเชษฐ เมาลานนท์, นิลุบล ชัยอิทธิพรวงศ์, และ พรทิพย์ อภิสิทธิวาสนา ซึ่งเป็นหนังสือเชิงเสนอนโยบายสาธารณะในสังคมไทย ในด้านการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ ว่าจะทำหน้าที่โดยยึดตัวบทหรืออนุรักษ์นิยมเป็นสำคัญ หรือจะยึดการตีความข้ามตัวบท ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาสังคม เป็นตุลาการก้าวหน้า จะปฏิบัติหน้าที่โดยมีจุดพอดีระหว่างสุดโต่งสองด้านอย่างไร
ทำให้ผมเห็นประเด็น "องค์กรเรียนรู้ - Learning Organization" สำหรับวงการตุลาการ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วงการตุลาการออกมาทำหน้าที่ เริ่มต้นการกวาดล้างความโสโครกในวงการเมือง ที่หมักหมมมา ๕ ปี เกิดผลดียิ่งต่อบ้านเมือง ทำให้เห็นความหวังว่า เราจะมีโอกาสเริ่มต้นระบบการเมืองที่เน้นคุณธรรม ที่ประชาชนควบคุมนักการเมือง ให้ต้องมีคุณธรรม ผมจึงรู้สึกว่าเรายังพอมีความหวัง หากอำนาจตุลาการลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นสติ และ ปัญญา ให้แก่สังคม ในลักษณะของการทำงานแบบตีความข้ามตัวบท
ที่จริงองค์ประกอบหลักในด้านความรับ ผิด-ชอบ ดี-ชั่ว น่าจะเป็นกิจของวงการศาสนา แต่เวลานี้วงการศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักซวนเซไปมาก เห็นได้จากพฤติกรรมในการเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญกำหนดพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้คนเสื่อมศรัทธาพระในพุทธศาสนาลงไป
ชีวิตที่พอเพียง ต้องเป็นชีวิตที่เรียนรู้ รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ ไม่หลงกระพี้ ไม่เข้าใจแก่น ก็จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา อย่างที่วงการต่างๆ จมปลักอยู่อย่างที่เห็น
หนังสือ ตุลาการภิวัตน์ ราคา ๑๒๐ บาท ซื้อได้ที่ มสช. (มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ) โทรศัพท์ 0 2511 5855
วิจารณ์ พานิช
๒ ก.ค. ๕๐
มีคนมีความเห็นไม่ตรงกับอาจารย์เยอะนะครับ ในเรื่องการใช้อำนาจตุลาการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
โดยเฉพาะประเด็นของ "ระบบการเมืองที่เน้นคุณธรรม ที่ประชาชนควบคุมนักการเมือง ให้ต้องมีคุณธรรม" นั้น ถ้าอาจารย์หมายถึง "ประชาชนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจ" ก็คงถูกต้อง แต่ถ้าอาจารย์หมายถึงประชาชนโดยทั่วไปผมคิดว่าคงไม่ใช่ครับ
จากการตีความของผม ผมคิดว่าบันทึกนี้ของอาจารย์สื่อความตรงกันข้ามกับ "ประชาธิปไตยในฐานะเครื่องมือของการเรียนรู้ของชาวบ้าน" ครับ
ผมชอบมุมมองของอาจารย์ในบันทึกหลังมากครับ แต่ผมหวั่นใจในมุมมองที่ตรงข้ามของอาจารย์ในบันทึกนี้ครับ
ความถูกต้องของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจ ไม่ใช่ความถูกต้องที่ประชาชนต้องก้มหน้ายอมรับครับ
ขอบคุณ อ. ธวัชชัยครับ เราอยากได้มุมมองที่ต่างเช่นนี้แหละครับ
วิจารณ์