หายหน้าไปเสียนานเลยค่ะ เนื่องจากติดภารกิจหลายอย่างและตัวขี้เกียจเจริญงอกงามกว่าตัวขยัน แต่วันนี้อยากเขียนเพราะได้ไปอ่านเจอในกระทู้หนึ่งของพันทิบ รู้สึกสะกิดใจ เป็นกระทู้แนะนำค่ะ ซึ่งคนโพสต์ก็เอามาจากเวบของหมอๆhttp://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5615643/L5615643.html
เรื่องประมาณว่า หมอคนหนึ่งได้ทำการผ่าตัดคนไข้ที่ติดเชื้อ HIV แล้วโดนเข็มแทงในขณะผ่าตัด เข็มนั้นเปื้อนเลือดคนไข้ค่ะ จริงๆแล้วโอกาสในการติดเชื้อจากเข็มในกรณีแบบนี้นี่น้อยมากๆเลยนะคะ แต่หมอคนนั้นติดเชื้อค่ะ พวกเราที่เป็นหมอทั้งหลายก็แสดงความเห็นกันมากมาย แน่นอนค่ะ มีหลายคนเลยที่เคยโดนเข็มตำ โดยที่เข็มนั้นเปื้อนเลือดคนไข้หรือน้ำต่างจากคนไข้ๆเช่นน้ำไขสันหลัง น้ำหนอง 9ล9 หลังจากโดนเข็มตำ หลายคนไปเจาะเลือดตรวจ หลายคนได้รับยา แต่บางคนเลือกที่จะไม่ตรวจ.....
ตอนเป็น extern ฝึกงานที่จังหวัดพิษณุโลก แผนกอายุรกรรม ดิฉันได้รับมอบหมายให้เจาะเอาน้ำไขสันหลังไปตรวจ คนไข้คนนั้นติดเชื้อ HIV ค่ะ พวกเราก็ระวังกันเต็มที่อยู่แล้ว ใส่ถุงมือสองชั้น ตั้งสติดีๆตั้งใจทำ แต่.....สงสัยจะระวังมากเกินไป เข็มที่เจาะมันตำมือดิฉันจนได้ รีบถอดถุงมือเลยค่ะ บีบเลือดออกให้มากที่สุด แล้วรีบล้างมือฟอกสบู่ แต่หลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่ยอมเจาะเลือดค่ะ แล้วตอนนั้นยังไม่มีแบบแผนว่าหลังจากหมอโดนเข็มตำจะมีการดูแลยังไงต่อไป ดิฉันก็ไม่ได้รับยาใดๆ ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆจนปัจจุบันนี้ก็ 18 ปีแล้วค่ะหลังจากเหตุการณ์นั้น และไม่ยอมเจาะเลือดตรวจ HIV จนถึงเดี๋ยวนี้
จากกระทู้นี้ คงทำให้หลายๆคนได้ข้อคิด ดิฉันอ่านแล้วเห็นใจมาก เข้าใจหัวอกคนอาชีพเดียวกัน สงสารพ่อและแม่ของเขา และซาบซึ้งใจมากจากข้อความนี้ที่เขาโพสต์ไว้ค่ะว่า ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นเล่นอย่างที่เราเคยเข้าใจซะแล้ว พวกเราอยู่กับความเจ็บป่วยมานาน สิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าจริงจริงเรารักษาคน เราดูแต่เจ้าของร่างกายโดยที่เราลืมรักษาจิตใจที่ร่วมมาด้วย ผมย้อนคิดไปถึงอดีตที่ดูแลคนไข้ มีคนไข้จำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิต แต่เรากลับบอกพวกเขาสั้นๆว่า คุณป้าเป็นมะเร็งครับ คุณติดเชื้อ HIV ครับ มันพอแล้วหรือหรือเปล่า ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อนจนกระทั่งวันที่เจอกับตัว การที่รู้ว่าเราต้องตายถึงแม้จะอีกนาน แต่มันก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุขสักนิด ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยดูสวยงาม ตอนนี้มันไม่มีความหมาย ผมเดินผ่านมันไป ดูเหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
คุณล่ะคะ อ่านกระทู้นี้แล้วคิดยังไงกันบ้าง.....
สวัสดีครับ
หวัดดีค่ะ น้องสุพัฒน์ ใจงาม
โห พี่หายไปนานขนาดมี 5 ๆ เลยเหรอเนี่ย 555 นานไม่นานคิดดู น้ำหนักกระฉูดขึ้นไปอีก 8 กก.แหนะค่ะ ข้ออ้างคือพี่มัวไปเฝ้าคุณแม่ที่ประสบอุบัติเหตุนานเกือบสองเดือน เลยกินกะนอนเยอะปหน่อยค่ะ
น้องก็เคยโดนเหมือนกันเหรอ พวกเราสายอาชีพที่อยู่ใกล้เข็มกะเลือดนี่ คงเคยโดนเข็มกันเยอะเลยนะคะ พูดถึง HepB พี่เองเพิ่งฉีดวัคซีนไปสัก 7 ปีนี่เอง ที่ฉีดเพราะกลัวหนะ ทำอัลตร้าซาวด์เจอคนเป็น hepatoma จาก HepB เยอะมากๆ
มีประเด็นนึง ที่หมอคนนึงเข้าไปคอมเม้นต์ว่า ถ้าน้องเค้าเป็น surgeon แล้วคนไข้หรือผู้ร่วมงานที่เข้าเคสด้วยควรได้รับการแจ้งไหมว่าเขามี HIV อยู่ อืม ประเด็นนี้ก็ทำเอาอึ้งไปเลยเหมือนกันนะคะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณ sasinanda
ถ้าเป็นตัวดิฉันเอง อันดับแรกเลยต้องพยายามทำใจยอมรับให้ได้ก่อนเลยค่ะ ว่าเรามีเชื้อนี้อยู่ในตัว ต้องทำใจให้ได้ให้เร็วที่สุด แล้วก็ต้องให้กำลังใจตัวเองสู้ๆ ปฏิบัติตัวดีๆ ไม่เอาเชื้อมาเพิ่มอีก กินอาหารดีมีประโยชน์แล้วหมั่นออกกำลังกาย ไม่ทำงานหนัก ไปรับยาตามคอร์สที่โรงพยาบาล เพราะถ้าดูแลตัวเองดี ก็อยู่ไปได้อีกนานแน่ๆ แล้วต่อไปการแพทย์เจริญขึ้นทุกวัน อาจมียารักษาจนหายได้
ที่สำคัญดิฉันคงต้องหมั่นปฏิบัติธรรม สะสมบุญให้มากขึ้น เพราะคงคิดแบบหมอคนนี้ว่าเหมือนเราเห็นความตายอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อืม ทำให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าบอกเลยค่ะ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
คงจะเป็นแล้วแต่บุคคลนะคะ แต่ถ้าเป็นตัวดิฉันเอง ดิฉันจะทำแบบข้างบนค่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เวลาเจอเหตุการณ์จริง จะทำได้ดีไหมนะคะ
สวัสดีค่ะคุณหมอ
มายอมรับว่าตนเองก็เคยติดเชื้อจากการปฏิบัติงานค่ะ ได้ herpes มาจากการทำแผล โทษตัวเองค่ะที่ไม่ได้ระวังให้ดี เมื่อมีอาการแสดงทีไรก็คิดเสมอว่า ดีแล้วหละ ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้
แต่ตอนนี้ ( 17 ปีแล้ว ) ไม่ได้ทำงานในสถานพยาบาลแล้วค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณหนิง
ดิฉันก็เคยติดเชื้อจากหมอด้วยกันค่ะ ไปเยี่ยมหมอรุ่นน้องที่เป็นอีสุกอีใส เพราะแม่บอกว่า ดิฉันเป็นไปแล้วตอนเด็กๆ ได้เรื่องเลยค่ะ หลังจากนั้นอีกสักสามอาทิตย์ตัวลายพร้อยเป็นตุ๊กแกเลย เป็นตอนเบญจเพศพอดีต้องลาหยุดตอนเรียนไปเกือบสองอาทิตย์ อ๊าย อาย เพราะตอนกลับไปเรียนสะเก็ดยังเต็มหน้าค่ะ