สกู๊ปเรื่องเมืองไทย


งานนี้ไม่รู้ว่าจะภูมิใจหรือเศร้าใจดี

วันที่ 17 กรกฎาคม 2550

วันนี้เป็นวันอังคารของสัปดาห์ที่ 11 นับไปก็เหลือ 121 วันแล้ว วันนี้ได้รับเอกสารจากโรงพยาบาล ยืนยันการรับเป็น fellow ของผม (ซึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติงานมานานกว่า 10 สัปดาห์เข้าไปแล้ว) ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2550 นั่นคือ ผมจะได้ทำงานวันสุดท้ายคือวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2550 ครับ

                เช้าวันนี้ ผมได้ดื่มนมก่อนไปทำงาน เมื่อวานไปซื้อมาแช่ไว้ในตู้เย็น เป็น product of Thailand ครับ ผมซื้อนมของเมจิมาดื่ม รู้สึกสดชื่นพอสมควรแล้วออกเดินทางไปโรงพยาบาล

                ผมไม่มีคนไข้ให้ round ครับ เลยดูคนไข้ของอาร์เธอที่เป็นฝีในอุ้งเชิงกรานแทน คนที่เมื่อวานเกิดเรื่องนั่นแหละครับ เธอดูดีขึ้นมาก ไม่มีไข้แล้ว น่ายินดีด้วยนะครับ มิฉะนั้นจะถูกเจาะเลือดจนพรุนแน่ๆ เพราะประมาณ 4 วันมานี้ เธอถูกเจาะเลือดทุกวัน ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรกันนักหนา คนไข้ดูดีจะตาย แต่เขาดู lab มากกว่ากว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงตรงหน้าเสียอีก

                เช้าวันนี้ผมตรวจคนไข้กับครูลีโดยมีดันดีมาช่วยอีกแรง ที่จริงแล้ววันนี้เขามีหน้าที่อยู่ห้องตรวจยูโรพลศาสตร์ครับ แต่ทีมเราแกร่งครับ เมื่อขาดคนทำงาน (อาร์ลีนยังมาไม่ไหว) เราก็จะมาช่วยกันทำงาน วันนี้การตรวจคนไข้ผมสนุกมากครับ ครูลีไม่เคยเร่งเร้าให้เราตรวจด้วยความรวดเร็ว แถมยังให้เวลาในการสอนอีกต่างหาก นั่นเป็นความสุขข้อหนึ่ง ต่อมาก็คือ คนไข้วันนี้ทุกคนมีความน่ารักทั้งนั้น หลายคนผมเคยตรวจมาก่อน หลายคนก็เพิ่งได้เจอกัน ผมพยายามพูดภาษาจีนแมนดารินกับเขา ด้วยความรู้สึกว่าน่าจะเป็นสำเนียงที่ดี แต่ยังไงเสียเขาก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ลำบากป้าซินเทียทุกทีไป

วันนี้เรามีคุณพยาบาลของสุกี้ ซึ่งมาดูงานราว 3 สัปดาห์มาอยู่ห้องเดียวกับผม เราเลยสนทนากันอย่างได้อรรถรส เธอยังช่วยผมสื่อสารกับคนไข้ด้วย มีคนไข้คนหนึ่ง เธอเข้ามาแล้วทำหน้าตกใจทันทีที่เจอหน้าผม เธอบอกว่าทำไมหมอดูเด็กจัง (ยิ้มเลยครับ) จะเชื่อถือได้ไหมเนี่ย แล้วก็หัวเราะกันทั้งหมอทั้งคนไข้ คนนี้คุยเก่ง คุยสนุก ถามมาก คนตอบก็ชอบใจตอบไปทุกคำถาม (ไม่ได้มั่วนะครับ) ก่อนจากกันเธอบอกผมว่า ขอยืมรอยยิ้มของหมอหน่อยได้ไหม..ฮา

เราสามารถเลิกคลินิกได้ราวเที่ยงนิดๆ จากนั้นจึงไปที่ภาควิชา วันนี้มี journal club ซึ่งอาร์ลีนจะต้องมานำเสนอ หลังจากที่เลื่อนไปเลื่อนมาประมาณ 1 เดือน เธอสามารถมาได้ครับ สีหน้าท่าทางดูปกติ แต่ยังบ่นๆว่าปวดหลังมากอยู่

เลิก journal club ผมก็ลงไปเก็บข้อมูลงานวิจัย คุณป้าไวรัสผู้น่ารักจัดการหาแฟ้มไว้ให้ผมเสร็จแล้ว ผมใช้เวลาตลอด 3 ชั่วโมงในห้องเก็บเวชระเบียน จนสามารถเก็บข้อมูลได้ทุกแฟ้มจนเสร็จของวันนี้ (ยังเหลืออีกประมาณ 800 กว่ารายครับ) เลิกงานก็ 5 โมงเย็นนิดๆ ผมเลือกที่จะกลับบ้านโดยการนั่งรถ shuttle bus ฟรี ที่ออกจากโรงพยาบาลไปยัง Bugis คนขับรถน่ารักดีครับ เมื่อมาส่งถึงที่ก็หันกลับมาขอบคุณผู้โดยสารทุกคนเลยครับ หาดูไม่ได้อีกแล้ว

ผมเดินจาก Bugis ลัดสนามหญ้าและป่ากลางเมือง ออกมายังถนน Ophir ข้ามคลอง Rochor แล้วตัดเข้ามายังถนนที่อยู่หลังตึก HDB ที่ผมอาศัยอยู่ ตรงนี้เป็นแหล่งขายของเก่าที่ใหญ่ไม่เบา เขาวางของขายกันตามทางเดิน มีขายทุกวันครับ มีของให้เลือกหลายอย่าง เก่าๆทั้งนั้น เทป แผ่นเสียงโบราณ หมวกทหาร ทีวีโบราณ เสื้อผ้า รองเท้า แก้ว ไห แจกัน ของเล่น หนังสือ สุดจะบรรยายครับ แต่นั่นแหละ ไม่รู้จะซื้อไปทำไม กลัวเจ้าของเก่ามาทวงคืน ว่าไปนั่น

ถึงบ้านแต่หัววันเลยครับ จึงเปิดทีวีดูข่าว วันนี้ช่อง Channel Newsasia เขาเสนอสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับเมืองไทย 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ จตุคาม เขาถ่ายภาพพระสงฆ์ 2 รูปกำลังเลือกซื้อ (หรือจะต้องเรียกว่าเช่าไหมหนา) จตุคามกันอยู่ มีการจ่ายเงินกันเรียบร้อย ขอย้ำว่าไม่ใช่กล้องแอบถ่ายนะครับ อีกภาพเป็นภาพฝูงชนกำลังแย่งกันขึ้นไปจองจตุคาม ในวันที่มีคนถูกเหยียบตายในวัดนั่นแหละครับ งานนี้ไม่รู้ว่าจะภูมิใจหรือเศร้าใจดี อีกเรื่องเป็นเรื่องวันพืชมงคล เขาถ่ายภาพพระโคกำลังไถนาสนามหลวง กำลังกินอาหารเสี่ยงทาย แล้วมีการสัมภาษณ์ประชาชนที่มาชม แต่เขาเลือกที่จะสัมภาษณ์ชายชาวกัมพูชานี่น่ะสิครับที่ทำให้ผมเจ็บกระดองใจ ทำไมไม่ถามคนไทยเล่า แต่จะว่าไปก็น่าภูมิใจโขอยู่ ที่เขาอุตส่าห์เดินทางมาเพื่อชมและเก็บเมล็ดข้าวกลับไปปลูก เพราะบ้านเขาก็ทำนาเหมือนกับบ้านเรานั่นแหละ

เรื่องสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้เล่าก็คือ วันนี้ผมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งที่หิ้วมาจากเมืองไทยครับ คิดถึงจัง ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว งานนี้ซดจนหยดสุดท้ายเลยเชียว
หมายเลขบันทึก: 112326เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2007 20:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ฟังดูแล้วน่าจะเศร้าใจทั้งสองเรื่องนะครับ โดยเฉพาะเรื่องแรกครับ ผมไม่แน่ใจว่ามุมมองของชาวต่างชาติจะมองประเทศไทยอย่างเรา ขนาดส่วนตัวเรายังรู้สึกแย่เลยครับ...

ขอบคุณมากครับ...

สวัสดีครับคุณP

ผมก็รู้สึกอย่างนั้นครับ

วันนี้ขณะตรวจคนไข้ ได้ยินเสียงดังครืนๆๆๆ ก็ตกใจ สามีคนไข้คงรู้ว่าผมเป็นหมอไทย เลยบอกว่า ไม่ใช่บอมบ์ ไม่ต้องตกใจ ที่นี่สิงคโปร์ ปลอดภัยมาก เป็นเสียงฟ้าร้องต่างหาก

บ้านเราเป็นที่ที่อันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวไปซะแล้วครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท