กิจกรรมของระบบ SM,STM,LTM, คล้ายกับกิจกรรมของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเลียนแบบกันและกัน แต่แน่นอนทีเดียว คอมพิวเตอร์ต้องเป็นฝ่ายเลียนแบบ เพราะว่าในโลกนี้มีคนมาก่อนคอมพิวเตอร์ นักจิตวิทยาหลายคนมีความคิดว่า การศึกษาจิตของมนุษย์จากกิจกรรมของกลุ่มนิวโรนนั้นยากมาก เพราะสังเกตมันโดยตรงไม่ได้ จึงได้มองมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และได้ช่วยกันโหมใช้ปัญญาระดับสูงของตนจินตนาการภาพของโครงสร้างความจำของคนขึ้นมาเป็นรูปจำลอง(Model) จากนั้นจึงช่วยกันสร้างโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ศาสตร์ขึ้นมาควบคุมโครงสร้างนั้น เพื่อศึกษาธรรมชาติของความจำ ในที่สุด เราก็ได้รูปจำลองของความจำออกมาหลายรูป คล้ายกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง รูปจำลองเหล่านั้นจึงมีฐานะเป็นทฤษฎี แต่ผู้สร้างส่วนใหญ่เรียกกันว่า รูปจำลอง ดังเช่นรูปจำลอง SM,STM,LTM, ที่ท่านเห็นข้างบนนี้
เมื่อได้รูปจำลองมาแล้วก็ยังไม่พอ ยังได้ยืมคำศัพท์ของคอมพิวเตอร์ศาสตร์มาใช้แทนคำศัพท์ทางจิตวิทยาอีกหลายคำ เช่น คำว่า สาร(Information)แทนคำว่า กระแสประสาทที่เดินทางจากรีเซ็ปเตอร์(Receptors)ต่างๆไปยังแดนการรู้สึกสัมผัสนั้นๆที่ Cerebral Cortex, หรือคำการรู้สึกสัมผัส,หรือหน่วยข้อมูลต่างๆที่อยู่ใน STM; คำว่า เข้ารหัส(Encoding) แทนการเปลี่ยนจากอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่น เปลี่ยนจาก การรู้สึกสัมผัส ไปเป็น การรับรู้; การเก็บรหัส(Storage) แทนคำ จำ,ความจำ; คำ การถอดรหัส(Decoding,Retrieval) แทนคำว่า การระลึก; คำ ตัวจัดกระบวนสาร(Processor)แทนโครงสร้างของความจำ,หรือ สมอง; คำ การจัดกระบวนสาร (Information Processing) แทนคำการคิด,กิจกรรมของนิวโรน เป็นต้น(ดูที่ http://gotoknow.org/theory ) ( หากท่านผู้อ่านรู้สึกสับสน ผมก็ขออภัยท่านผู้อ่านแทนท่านนักจิตวิทยาเหล่านั้นด้วย ก็แล้วกันครับ ผมคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นถ้าได้มีการบรรยายเรื่องเหล่านี้กันกว้างขวางยิ่งขึ้นในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย)
ถ้าจะถามว่า การใช้รูปจำลองดังกล่าวและการยืมภาษาคอมพิเตอร์ซึ่งเป็นภาษาของเครื่องจักร ไม่มีจิตเหมือนเรามาใช้ ดีหรือไม่? คำตอบก็คงจะมีทั้งดีและไม่ดี ดังนี้
ส่วนดี (1) เราควบคุมการจัดกระบวนสารของคอมพิเตอร์ได้ เพราะเราเป็นเป็นผู้เขียนโปรแกรม และเป็นผู้กดคีย์เอง ทำให้ง่ายต่อการอยากรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อรู้แล้วก็ใช้ผลอันนั้นเป็นข้ออ้างลงสรุปไปสู่เหตุการณ์ในสมอง หรือในโครงสร้างของความจำอย่างมีตรรก(Logic), (2)การใช้คำศัพท์ทางคอมพิวเตอร์แทนคำศัพท์ทางจิตวิทยา จะทำให้หลีกเลี่ยงจากการถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม(Behaviorists)ไปได้บ้าง เพราะกลุมนี้ปฏิเสธจิต(Mind) พวกเขาจึงปฏิเสธคำทางจิตวิทยาหมดที่ใช้เรียกเกี่ยวกับจิต หรือถ้าเขายังคงใช้อยูเขาก็จะนิยามใหม่ เช่น คำว่า จำ ก็จะนิยามว่า คือการชี้ได้,บอกได้, คำว่า คิด ก็จะนิยามว่า คือการพูดกับตัวเองในลำคอ ฯลฯ แต่เมื่อใช้ภาษาของเครื่องจักร ซึ่งสังเกตได้ กลุ่มพฤติกรรมนิยมจะอยูเฉย จึงลดการถูกวิจารณ์ลงดังกล่าวแล้ว(เหตุผลนี้อาจจะเหมาะสมกับอดีต ช่วงปี 1913-1960 หลังจากช่วงนี้จนถึงปัจจุบัน อิทธิพลดังกล่าวได้เสื่อมถอยลงไปหมดแล้ว)
ส่วนเสียก็คือ (1) เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักร มันไม่มีชีวิต มันไม่มีความรู้สึก หรือจิต แต่คนมีความรู้สึกหรือมีจิต การเอาคำศัพท์ของเครื่องจักรมาใช้กับคน นานเข้า ลูกหลานของเราไม่รู้ที่มาที่ไป ก็จะใช้ภาษาเครื่องจักรตลอดไป อาจจะทำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมเครื่องจักรไปในที่สุดก็ได้(จึงไม่ควรประมาทนะครับ), (2) สังคมไทยในปัจจุบันเน้นค่านิยมของการหาความสุขทางกาย คือหาความสุขจากการได้ดู(สุขทางตา), ความสุขจากการได้ยินเสียงเพลงนานาชนิด(ความสุขทางหู), ความสุขจากการได้ดมกลิ่นหอมเย้ายวนใจ(สุขทางจมูก) , ความสุขจากการได้ลิ้มรสอาหารอร่อย มีที่ไหนก็ไปชิมให้ได้(ความสุขทางปาก,ลิ้น), ความสุขจากการได้สัมผัสลูบคลำ(สุขทางผืวหนัง), หย่อนยานในการหาความสุขทางความคิด ทางปัญญา หรือทางความสงบ นั้นก็คือ เน้นด้านวัตถุนิยม และมากขึ้น ๆ ดังนั้น การใช้คำทางเครื่องจักรดังกล่าวจึงเข้ากันได้ดีกับวัตถุนิยม ซึ่งเป็นความจริงในสังคมของเราในปัจจุบัน(ท่านรู้สึกตกใจกันบ้างไหม?).