GotoKnow

โครงสร้างของความจำกับเครื่องคอมพิวเตอร์

ดร. ไสว เลี่ยมแก้ว
เขียนเมื่อ 3 มกราคม 2549 15:50 น. ()
แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2555 21:19 น. ()
เราใช้ปัญญาระดับสูงของเราจินตนาการภาพของโครงสร้างความจำของเราขึ้นมาเป็นรูปจำลอง(Model)แล้วสร้างโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมาควบคุมเพื่อศึกษาธรรมชาติของความจำ เราจึงได้รูปจำลองความจำของมนุษย์

กิจกรรมของระบบ SM,STM,LTM, คล้ายกับกิจกรรมของเครื่องคอมพิวเตอร์  เป็นการเลียนแบบกันและกัน  แต่แน่นอนทีเดียว คอมพิวเตอร์ต้องเป็นฝ่ายเลียนแบบ  เพราะว่าในโลกนี้มีคนมาก่อนคอมพิวเตอร์  นักจิตวิทยาหลายคนมีความคิดว่า  การศึกษาจิตของมนุษย์จากกิจกรรมของกลุ่มนิวโรนนั้นยากมาก  เพราะสังเกตมันโดยตรงไม่ได้ จึงได้มองมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์  และได้ช่วยกันโหมใช้ปัญญาระดับสูงของตนจินตนาการภาพของโครงสร้างความจำของคนขึ้นมาเป็นรูปจำลอง(Model)  จากนั้นจึงช่วยกันสร้างโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ศาสตร์ขึ้นมาควบคุมโครงสร้างนั้น เพื่อศึกษาธรรมชาติของความจำ ในที่สุด  เราก็ได้รูปจำลองของความจำออกมาหลายรูป คล้ายกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง  รูปจำลองเหล่านั้นจึงมีฐานะเป็นทฤษฎี  แต่ผู้สร้างส่วนใหญ่เรียกกันว่า รูปจำลอง  ดังเช่นรูปจำลอง SM,STM,LTM, ที่ท่านเห็นข้างบนนี้

เมื่อได้รูปจำลองมาแล้วก็ยังไม่พอ  ยังได้ยืมคำศัพท์ของคอมพิวเตอร์ศาสตร์มาใช้แทนคำศัพท์ทางจิตวิทยาอีกหลายคำ เช่น  คำว่า  สาร(Information)แทนคำว่า กระแสประสาทที่เดินทางจากรีเซ็ปเตอร์(Receptors)ต่างๆไปยังแดนการรู้สึกสัมผัสนั้นๆที่ Cerebral Cortex,  หรือคำการรู้สึกสัมผัส,หรือหน่วยข้อมูลต่างๆที่อยู่ใน STM; คำว่า เข้ารหัส(Encoding) แทนการเปลี่ยนจากอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่น เปลี่ยนจาก การรู้สึกสัมผัส ไปเป็น การรับรู้; การเก็บรหัส(Storage) แทนคำ จำ,ความจำ;  คำ การถอดรหัส(Decoding,Retrieval) แทนคำว่า การระลึก; คำ ตัวจัดกระบวนสาร(Processor)แทนโครงสร้างของความจำ,หรือ สมอง; คำ การจัดกระบวนสาร (Information Processing) แทนคำการคิด,กิจกรรมของนิวโรน เป็นต้น(ดูที่ http://gotoknow.org/theory ) ( หากท่านผู้อ่านรู้สึกสับสน ผมก็ขออภัยท่านผู้อ่านแทนท่านนักจิตวิทยาเหล่านั้นด้วย ก็แล้วกันครับ  ผมคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นถ้าได้มีการบรรยายเรื่องเหล่านี้กันกว้างขวางยิ่งขึ้นในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย)

ถ้าจะถามว่า  การใช้รูปจำลองดังกล่าวและการยืมภาษาคอมพิเตอร์ซึ่งเป็นภาษาของเครื่องจักร ไม่มีจิตเหมือนเรามาใช้ ดีหรือไม่? คำตอบก็คงจะมีทั้งดีและไม่ดี ดังนี้

ส่วนดี (1) เราควบคุมการจัดกระบวนสารของคอมพิเตอร์ได้  เพราะเราเป็นเป็นผู้เขียนโปรแกรม และเป็นผู้กดคีย์เอง  ทำให้ง่ายต่อการอยากรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อรู้แล้วก็ใช้ผลอันนั้นเป็นข้ออ้างลงสรุปไปสู่เหตุการณ์ในสมอง หรือในโครงสร้างของความจำอย่างมีตรรก(Logic), (2)การใช้คำศัพท์ทางคอมพิวเตอร์แทนคำศัพท์ทางจิตวิทยา  จะทำให้หลีกเลี่ยงจากการถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม(Behaviorists)ไปได้บ้าง  เพราะกลุมนี้ปฏิเสธจิต(Mind)  พวกเขาจึงปฏิเสธคำทางจิตวิทยาหมดที่ใช้เรียกเกี่ยวกับจิต หรือถ้าเขายังคงใช้อยูเขาก็จะนิยามใหม่ เช่น คำว่า จำ ก็จะนิยามว่า คือการชี้ได้,บอกได้,  คำว่า คิด ก็จะนิยามว่า คือการพูดกับตัวเองในลำคอ ฯลฯ  แต่เมื่อใช้ภาษาของเครื่องจักร  ซึ่งสังเกตได้  กลุ่มพฤติกรรมนิยมจะอยูเฉย  จึงลดการถูกวิจารณ์ลงดังกล่าวแล้ว(เหตุผลนี้อาจจะเหมาะสมกับอดีต ช่วงปี 1913-1960 หลังจากช่วงนี้จนถึงปัจจุบัน อิทธิพลดังกล่าวได้เสื่อมถอยลงไปหมดแล้ว)

ส่วนเสียก็คือ (1) เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักร มันไม่มีชีวิต  มันไม่มีความรู้สึก หรือจิต  แต่คนมีความรู้สึกหรือมีจิต  การเอาคำศัพท์ของเครื่องจักรมาใช้กับคน นานเข้า ลูกหลานของเราไม่รู้ที่มาที่ไป  ก็จะใช้ภาษาเครื่องจักรตลอดไป  อาจจะทำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมเครื่องจักรไปในที่สุดก็ได้(จึงไม่ควรประมาทนะครับ), (2) สังคมไทยในปัจจุบันเน้นค่านิยมของการหาความสุขทางกาย  คือหาความสุขจากการได้ดู(สุขทางตา), ความสุขจากการได้ยินเสียงเพลงนานาชนิด(ความสุขทางหู), ความสุขจากการได้ดมกลิ่นหอมเย้ายวนใจ(สุขทางจมูก) , ความสุขจากการได้ลิ้มรสอาหารอร่อย  มีที่ไหนก็ไปชิมให้ได้(ความสุขทางปาก,ลิ้น), ความสุขจากการได้สัมผัสลูบคลำ(สุขทางผืวหนัง),  หย่อนยานในการหาความสุขทางความคิด  ทางปัญญา หรือทางความสงบ นั้นก็คือ เน้นด้านวัตถุนิยม และมากขึ้น ๆ      ดังนั้น การใช้คำทางเครื่องจักรดังกล่าวจึงเข้ากันได้ดีกับวัตถุนิยม ซึ่งเป็นความจริงในสังคมของเราในปัจจุบัน(ท่านรู้สึกตกใจกันบ้างไหม?).

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized 

ความเห็น

ณัฐวุฒิ พลครุฑ
เขียนเมื่อ

(ท่านรู้สึกตกใจกันบ้างไหม?). ตอบว่าไม่ตกใจ เพราะสิ่งแวดล้อมทุกสิ่งอย่างเอื้อให้เป็นไปอย่างนั้น ต้องยอมรับความจริงว่าทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แสวงหาความสุข ซึ่ง ได้มา จาก ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และอารมณ์สัมผัส ซึ่งการแสวงหาเหล่านั้นขึ้นกับสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลว่าทำอย่างไรจึงได้มาซึ่งความสุข ความสุขที่ท่านพูดว่าวัตถุนิยมนั้นเป็นความสุขที่หาได้ง่าย และเห็นผลเร็ว เป็นที่สบายอารมณ์โดยง่าย และคำว่าหย่อนยานในการหาความสุขทางความคิด ทางปัญญา หรือทางความสงบ นั้นเป็นเพราะว่าความสุขประเภทนี้ การที่จะได้มานั้นเป็นเรื่องขัดใจคนส่วนใหญ่ ทำยาก แต่เมื่อได้รับผล นั้นละเอียดไปตามลำดับขั้น ที่สำคัญที่สุดไม่มีคำพูดเพียงพอที่จะอธิบาย หรือสอน ให้ความรู้ เพราะเป็นนามธรรม จึงทำให้เกิดความเสื่อมเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะพัฒนาความรู้ไปถึงไหน ถ้าพื้นฐานของการใช้หรือให้ความรู้ไม่ได้เกิดจากใจที่ถูกฝึกมาดีแล้ว ความรู้ “ศาสตร์” นั้น ย่อมกลายเป็น “ศาสตรา” หาประโยชน์เป็นสาระที่ยั่งยืนไม่ได้เลย ปรารถนาให้มีความสุข [email protected]

ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว
เขียนเมื่อ

เป็นข้อคิดเห็นที่น่าสนใจครับ  เรื่องของความสุข ก็เป็นหัวข้อที่พูดกันอย่างกว้างขวางครับ.

Kafaak
เขียนเมื่อ

สำหรับความจำ 3 ประเภทของมนุษย์ ทั้ง SM (Sensory Memory), STM (Short-term Memory) และ LTM (Long-term Memory) นั้น ผมมองเปรียบเทียบกับ Model ของคอมพิวเตอร์แล้ว อาจดูคล้ายๆ กับ Cache Memory, RAM (Random-access Memory) และ Hard disk ครับ

 โดย

  • SM = Cache
  • STM = RAM
  • LTM = Hard disk

สำหรับ Cortext ของสมองนั้นก็คงจะเทียบกับ RAM และ Hard disk และ สมองส่วนกลางที่ทำหน้าที่จัดกาด้านความจำ ก็คงเทียบได้กับ CPU กระมังครับ

ในส่วนของ Receptors ต่างๆ ของมนุษย์ หากเทียบแล้วก็น่าจะคล้ายกับ Input peripheral ต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ คือ Keyboard, Mouse ฯลฯ 

ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณ kafaak

ครับ  ก็คงคล้ายงั้นแหละครับ  เพราะว่า  คนคิดคอมพิวเตอร์เขาก็เลียนแบบสมองคนอยู่แล้วครับ  ผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญในศัพท์ทางคอมพิวเตอร์ครับ  แต่ผมคิดว่า "ผลที่ปรากฏที่จอคอมพิวเตอร์นั่นแหละคือ SM,STM, "  คือ มันเป็น Working memory ครับ ถ้าเป็นหนังก็เทียบได้กับภาพที่จอหนังครับ  ส่วน LTM นั้น่าจะเปรียบได้กับ "สิ่งที่Saveเอาไว้"หรือฟิล์มหนังครับ ส่วน Sofware หรือพวกโปรแกรมต่างๆเทียบได้กับ Cerebral Cortex หรือ Cerebral Hemisphere ทั้งหมดครับ  และ สมองก็เป็น CPU  หรือ ทั้งเครื่องเลยก็ได้

ข้อคิดเห็นเสนอแนะเพิ่มเติมของคุณทำให้ชัดเจนขึ้นมากครับ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย