ผมเชื่อว่าทุกคนพอพูดถึง อาการเศร้าโศก
คร่ำครวญ อาลัย เสียใจ คับแค้นใจ ความสิ้นหวัง
ทุกคนเข้าใจได้ด้วยตนเอง
เพราะมันเป็นผลผลิตของความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นกับเรา
และทุกครั้งที่เกิดความทุกข์อาการดังกล่าวก็จะถูกบันทึกซ้ำไว้ในสมองของเราเสมอ
แต่ไม่ต้องตกใจแม้มันมีอยู่ในสมองของเราก็ตามถ้ามันไม่ได้ทำหน้าที่ก็ไม่มีผลอะไรกับเรา
เหมือน ยาพิษ รถยนต์ ก้อนหิน ที่วางอยู่
เราไม่ยุ่งกับมันมันก็อยู่เฉยๆ มันจะทำงานก็ต่อเมื่อเราไปยุ่งกับมัน
เช่น เอายาพิษมากิน หรือยกก้อนหินมันก็หนัก เป็นต้น
หรือเวลามีคนถามว่าความเศร้าโศกคืออะไร
เราก็ตอบได้ว่าเป็นอาการอย่างนั้นอย่างนี้ตามข้อมูลในสมองของเรา
เราก็ไม่ได้เศร้าโศกอะไร เรารู้เฉยๆ
มันไม่ได้ทำหน้าที่ก็ไม่เป็นผลอะไรกับเรา ถ้าเราไปยุ่งโดยการ
เอามาคิดปรุงแต่งจนเกิดเป็นความทะยายอยาก อยากให้เป็น
หรือไม่อยากให้เป็น
อย่างนั้นอย่างนี้(ตัณหา)โดยยึดมั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง(อุปาทาน)ก็จะเกิดความทุกข์จริงขึ้นมา
เกิดอาการข้างต้นขึ้นอีก และถูกเก็บบันทึกลงสมองอีก
ถ้าคนมีความทุกข์บ่อยๆ ก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความทุกข์
แล้วความทุกข์อะไรที่แก้ได้ด้วย ปัญญาทางธรรม ให้เข้าใจอย่างนี้ครับ
ความทุกข์ที่เกิดตามธรรมชาติ ได้แก่ทกข์ทางกาย เช่น เจ็บ ป่วย
ก็ควรไปหาหมอ ความแก่ ความตาย ถือเป็นทุกข์ธรรมชาติ
เราอย่าไปเสียเวลาไปแก้ทุกข์ธรรมชาติ
ส่วนทุกข์แท้ก็คือทุกข์ทางใจทั้งหมด สามารถแก้ด้วยปัญญาทางธรรม
รวมทั้งทุกข์ทางใจที่เกิดจากทุกข์ทางกายด้วย
แม้ทุกข์ทางกายที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติแต่เกิดจากทุกข์ทางใจ
เช่นอาการของโรคต่างๆที่เกิดจากทุกข์ทางใจแล้วไปแสดงอาการทางกายก็สามารถแก้ด้วยปัญญาทางธรรมครับ..
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย สุชา เหมือนแก้ว ใน แก่นธรรม
อ่านข้อความของคุณแล้ว ก็พยายามทำใจไม่ให้เกิดทุกข์อยู่เช่นกัน แต่ทำใจยากหน่อยนะ แต่ก็ทำใจและพยายามตั้งสติแล้วก็แก้ไขด้วยปัญญาอย่างที่คุณว่านั่นแหละค่ะ