ตลอดสองข้างทางที่ย่างเข้าประเทศเวียตนามเห็นแต่คน บ้าน และชีวิตที่ดำเนินไป อ้ายบุญจันทร์บอกว่าประชากรเวียตนามมี84 ล้านคนมากกว่าประเทศไทยแต่พื้นที่มีน้อยกว่าหนำซ้ำเกือบครึ่งค่อนประเทศเป็นภูเขาจึงไม่แปลกใจที่สองข้างถนนเมื่อเข้าเวียตนามจากด่านลาวบาวจึงต่างจากสองข้างทางในประเทศลาวอย่างรับรู้ได้ทันที ที่มีแต่บ้านเรือนและผู้คน
เส้นทางจากด่านลาวบาวไปยังเมือง ดงฮา จังหวัดกวางจิอันเป็นเป้าหมายของผู้บันทึกนั้นต้องผ่านเขตสู้รบเก่าที่ดุเดือดสมัยสงครามเวียตนาม เพราะจังหวัดกวางจิเป็นรอยต่อระหว่างเวียตนามเหนือและใต้จึงโดนทิ้งระเบิดอย่างหนักและที่สำคัญยังโดน “ฝนเหลือง” ที่ฝ่ายอเมริกันโปรยสารเคมีลงมาจากเครื่องบินให้ป่าไม้ผลัดใบและตายหมดเกลี้ยงเพื่อง่ายต่อการสำรวจพื้นที่ทางอากาศและกำจัดที่หลบซ่อนของพวกฝ่าย “เวียตกง” ฝนเหลืองได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตชาวเวียตนามโดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าต่างๆที่อาศัยภูเขาถิ่นนี้จนถึงปัจจุบัน
วันศุกร์วันหนึ่งก่อนเดินทางไปเวียตนามผู้บันทึกขับรถจากมุกดาหารกลับบ้านขอนแก่นตามปกติ วันนั้นเปิดวิทยุคลื่น AM ในรถเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการฟังต่างๆ เวลาประมาณ 5.30-6.00 น. ก็พบคลื่นเวียตนามภาคภาษาไทยพูดถึงประชาชนเวียตนามส่วนหนึ่งกำลังยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลต่อบริษัทผู้ผลิตสารเคมีชนิดนี้เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินและธรรมชาติของเวียตนาม ผู้บันทึกได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนต่างชาติฟังเขาบอกว่าคงไม่เป็นผลต่อบริษัทนั้นหรอก แต่ผู้บันทึกเสนอว่าเวียตนามฉลาดเพราะรู้ว่าการฟ้องร้องไม่มีผลต่อบริษัทแต่มีผลต่อ “การประชาสัมพันธ์ให้ประชาคมโลกรู้ถึงสิ่งที่อเมริกันได้กระทำต่อเวียตนาม” หลังจากที่สงครามเวียตนามสงบลง เรื่องราวของเวียตนามก็เงียบสนิท แต่สิ่งนี้จะออกมาให้ประชาคมโลกนึกถึงสงครามและผลที่เกิดขึ้นของสงครามโดยเฉพาะผู้กระทำอย่างอเมริกัน เมื่อผู้บันทึกเดินทางถึงที่พักในเมืองดงฮา ก็พบว่าในทีวีเวียตนามก็ยังมีรายการเรื่องนี้อยู่และเห็นชาวชนเผ่าออกมารณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องนี้ด้วย...นี่แหละสงคราม...
สภาพภูเขาที่ผ่านมีแต่ภูเขาหัวโลนไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยแต่ที่เขียวๆเพราะฝนตกลงมาและการเริ่มฟื้นตัวของป่าใหม่ เมื่อเข้าไปใกล้พบว่ามีการปลูกไม้โตเร็วคือ ยูคาลิปตัสและกระถินณรงค์ เป็นหย่อมๆ
เส้นทางที่ผ่านเห็นกระต๊อบเล็กๆและผู้คนเดินหิ้วเศษไม้ฟืน เด็กๆเล่นกันข้างทาง อ้ายบุญจันทร์บอกว่านั่นคือชาวเขา ที่แปลกหูของผู้เขียนซึ่งไม่ทราบข้อมูลนี้มาก่อนคือ อ้ายบุญจันทร์กล่าวว่า “ชาวเขาที่นี่และผืนดิน ภูเขาแถบนี้เดิมเป็นของประเทศลาว ต่อมายกให้เวียตนามไป” !! ?? ทำไม? เพราะอะไร? เมื่อไหร่? ผู้บันทึกยิงคำถามใส่ทันที ก็สงครามปลดปล่อยนั่นไง ลำพังพรรคคอมมิวนิสต์ลาวไม่สามารถรบชนะรัฐบาลลาวในครั้งนั้นได้เพราะอเมริกาสนับสนุนรัฐบาล ต้องอาศัยทหารของพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนามมาช่วยรบจึงชนะ และเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ลาวเข้าปกครองประเทศจึงยกพื้นดินส่วนนี้ที่เป็นเทือกเขาและมีชนเผ่าอาศัยและติดกับเวียตนามให้ ซึ่งเดิมก็เป็นพื้นดินที่พรรคคอมมิวนิสต์ลาวปลดปล่อยมาก่อนพื้นที่อื่นๆก็อิงอาศัยเวียตนาม และเวียตนามเองที่รบชนะอเมริกันและเวียตนามใต้ก็อิงอาศัยพื้นที่ส่วนนี้เคลื่อนย้ายพลผ่านดินแดนลาวลงใต้ ไปตีเมืองไซ่ง่อนนั่นเอง
ความสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและเวียตนามลึกซึ้งมาก จนถึงปัจจุบัน แม้เขมรก็ตาม ถ้าเราเข้าใจประวัติศาสตร์ส่วนนี้และอีกหลายๆส่วนย่อมเข้าใจเวียตนามมากขึ้น และเดาความรู้สึกลึกๆเขาออกว่าเขาคิดอย่างไรต่อประเทศไทย เพราะในสมัยนั้นเครื่องบินบี 52 จากสนามบินอู่ตะเภาบินไปถล่มเวียตนามและลาว รวมทั้งโปรยฝนเหลืองด้วย สมัยนั้นเราให้ศัตรูเขาอาศัยบ้านเราไปตีหัวเขา ... นี่คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศของเราในอดีตต่อภูมิภาค หากเป็นเราบ้าง เราคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรกันเล่า เหมือนกับที่ประวัติศาสตร์สอนเราเรื่องสงครามกรุงศรีอยุธยากับพม่า สิ่งเหล่านี้มันก็แสดงออกมาในสังคมปัจจุบันบ้าง เช่น การแข่งฟุตบอลไทย-พม่า ไทย-เวียตนาม เราสอนในประเทศว่าเจ้าอนุวงษ์เป็นกบฏ แต่ในประเทศลาวเขาสอนว่าเจ้าอนุวงษ์เป็นวีรบุรุษของประเทศเขา ขอเราจงมีจิตใจสากลเถอะครับ..
สวัสดีครับครูบาครับ