วันนี้กลับมามีอารมณ์บันทึกอีกครั้ง....หลังจากเข้ามาดูแล้วพบว่า...พระอาจารย์ของกระผมก็พลอยร้างลาไปนานเหมือนกัน(แต่ของผมแทบลืมไปเลย...555)
เมื่อเช้าภรรยาผมดูข่าวเรื่องเด็กหนุ่มที่เป็นลมชักขับรถเบนซ์ชนคนตาย...แล้วมาเล่าให้ผมฟังอย่างตื่นเต้น...ช่วงที่คุณสรยุทธ์สัมภาษณ์พ่อของเด็กหนุ่มไฮเปอร์คนนั้น...
ภรรยาผมเกิดอาการสนใจอย่างเอาเป็นเอาตาย(เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นอายุเท่าลูกชายสุดรักสุดหวงแหนของเธอ)... แล้วเธอก็มาสารภาพกับผมว่า...เมื่อครั้งที่ผมไม่ยอมให้ลูกชายคนกลางกินยากันชักตามที่หมอจ่ายมาให้...เพราะผมเชื่อว่า...เขา(ลูกชายกลาง)ต้องต่อสู้กับอาการชักด้วยตัวเองถึงจะถูก...และผมจะเป็นคนคอยดูแลเขาให้ถึงที่สุด เมื่อเกิดอาการไข้สูงอีกครั้ง(ครั้งที่ 4 หมอจ่ายยาฟีโนบาร์บให้) เขารู้สึกไม่เห็นด้วยกับผม(แต่ก็ไม่ได้โต้แย้ง...เพราะผมให้เหตุผลว่า...ยาอาจส่งผลให้ลูกเราเป็นเด็กไฮเปอร์ได้นะ...เหมือนตัวอย่างเด็กที่เขามาฝฝากเลี้ยงข้างบ้านเลย...เขาเลยยอม)
ผมก็เชื่ออย่างที่เรียนมาว่า...ทุกครั้งที่คนเราชัก...เซลล์สมองจะตายไปหลายล้านเซลล์...แต่ก็เชื่ออีกเช่นกันว่า...คนเราไม่เคยใช้เนื้อที่สมองได้เกิน 20 % และ สมองเด็ก มีเซลล์สมองที่สามารถเจริญเติบโตได้อีกมาก...ถ้าผ่านการกระตุ้นให้คิด...และจินตาการ...
ภรรยาผมเขาชื่นชมผม...บอกให้ลูกฟังว่า...ถ้าไม่เชื่อพ่อตั้งแต่ตอนนั้นลูกชาย 2 คนอาจมีอาการเหมือนเด็กหนุ่มที่เห็นในข่าวก็เป็นได้...ผมก็เลยนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่เชื่อหมอหลาย ๆ เรื่องที่ควรบันทึกเก็บไว้(แต่เรื่องส่วนใหญ่ก็ควรเชื่อนะครับ...555)...
หมอ...ไม่ใช่เทวดา...อันนี้เป็นคำพูดที่ผมพูดต่อหน้าหมอและพ่อของเด็กหนุ่มที่เป็นไข้เลือดออกจนเสียชีวิตแล้วเขาก็ทำเรื่องฟ้องแพทย์...ว่าไข้เลือดออกสำหรับลูกเขา...ไม่น่าถึงกับเสียชีวิต...เพราะเขาดูแลอย่างดี...ส่งถึงมือหมอตั้งแต่เริ่มเป็นไข้ (โรงพยาบาลที่เลือก ก็คิดว่าดีที่สุดในพิษณุโลกแล้ว)...เพราะหมอเป็นผู้วินิจฉัยโรคจากคำบอกเล่าและการสังเกตุตามทฤษฎีที่เรียนรู้มา...หากคนไข้บอกไม่ถูกหรือโกหกหมอ...โอกาสที่จะวินิจฉัยผิดพลาดก็มีอยู่สูง...ยังไม่รวมถึงความเชื่อและความสามารถของแพทย์หลาย ๆ คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติและความจริงของชีวิต...
หมอพินิจ(คลีนิคสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก)... ยังไม่ทันตรวจอะไรผมเลย...ท่านก็บอกว่าไม่เชื่อหมอก็ไม่ต้องตรวจ...ผมตกใจ(ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยตรวจกับท่านมาก่อน) ท่านคงสังเกตุสีหน้าผมก็รู้ว่า ไอ้หมอนี่หัวแข็ง...555 เก๋าจริง ๆ (ท่านปลดเกษียณแล้วมาตรวจที่คลีนิค สสจ.)
สมัยที่ผมเรียนวิชาอนาโตมี่...ผมสนใจมาก ถึงขนาดคิดว่า...ถ้าผมเข้าใจร่างกายของผมเอง...ผมก็น่าจะวินิจฉัยโรคของตัวเองได้ดีกว่าแพทย์ทุกคนในโลก...555
สมัยที่ผมอบรมเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน...วิทยากรเขายกตัวอย่างว่ามีแพทย์สองคนที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ห้องแอร์ในกรุงเทพฯ...พอสอบได้ก็เรียนแพทย์จนจบ.....แล้วต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัด 3 ปี...ปรากฎว่าไปเจอกับเชื้อโรคธรรมดาของชาวบ้าน....แต่หมอไม่เคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อน...ตายคาที่ทั้งสองคน...
การให้ยาปฏิชีวนะกับเด็กอายุน้อยกว่า 7 ขวบ จึงเป็นการฆ่าระบบภูมิคุ้มกันของเด็กชัด ๆ(แต่ก็มีหมออีกมากที่จ่ายให้เด็กโดยไม่จำเป็น) เขายกตัวอย่างว่าที่อเมริกาถ้าใครเป็นโรคอีสุกอีใส เขาจะรีบเอาลูกไปสัมผัสให้เป็นอีสุกอีใสด้วย(ให้มันรู้แล้วรูรอดไป)แต่ประเทศไทยสั่งให้หยุดเรียนและหลีกเลี่ยง...555
อีสุกอีใสนี่ภรรยาผมมาเป็นตอนอยู่กับผมแล้ว(สงสัยติดจากลูก) เชื่อมั้ยครับว่าอาการรุนแรงจนน่ากลัว...อิอิ
ผมนึกไปถึงพี่สมพร...หมออนามัยที่เล่าประสบการณ์ว่าเลี้ยงลูกด้วยยาตั้งแต่เล็ก...โตขึ้นก็เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะตลอด
ผมก็เลยเลี้ยงลูกแบบไม่ค่อยเชื่อหมอนัก...
1. การสั่งจ่ายยาแบบบูรณาการ...หลายคนคงเคยไปหาหมอแล้วรับยามาครั้งละ 4-5 ชนิด ... ผมไม่เคยกินยาทุกอย่างตามที่หมอสั่งเลย... ผมจะเลือกกินเฉพาะที่ผมมั่นใจว่าตรงกับโรคจริง ๆ เท่านั้น
2. การกินยาของลูก...อันนี้ผมพิถีพิถันมากที่สุด...ลูกผมจะได้กินแต่ยาลดไข้เท่านั้น...ไม่ว่าจ่ายยาอะไรมาผมจะศึกษาอย่างละเอียด...แล้วก็มักจะไม่ได้กิน(รวมทั้งฟีโนบาร์บนั่นด้วย)
ท่านเลขาฯ....
เห็นด้วย.......
เคยเรียนแพทย์แผนโบราณเล็กน้อย เค้าบอกว่า ยาหม้อหนึ่งมี ตัวยาหลัก ตัวยารอง ตัวยาเสริม นอกนั้นก็เป็นพวก แต่งสี แต่งกลิ่น แต่งรส....
เรื่องโรคาพยาธินี้ก็แปลก มีพระเถระบางรูป นานๆ อาบน้ำครั้ง สะบู่ปีหนึ่งใช้ก้อนเดียวไม่หมด แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง ไม่มีกลากเกลื้อน....
บางคนเป็นคนรักษาความสะอาดเกินร้อย แต่เป็นโรคผิวหนังตลอด รักษาอย่างไรก็หายไม่ขาด....
กัมมชโรค แปลว่า โรคเกิดแต่กรรม ... เป็นประเด็นหนึ่งที่มีอยู่ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา....
รู้สึกว่าใจฟูขึ้น ที่ได้เจอท่านเลขาฯ เช้าวันนี้....
เจริญพร
ครับ...พระอาจารย์...
วันหลังเรามาเขียนเรื่อง...ยารักษาจิตจะดีมั้ยครับ...
ยารักษาจิต
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ช่วยกันปรุงแล้วแจกจ่าย
ถ้ามี vaccine ด้วยจะยิ่งดีมากๆค่ะ
นานๆเข้ามาครั้ง รู้สึกว่าใจจะตรงกันกับท่านสอน(เดี๋ยวนี้ท่านเป็นใหญ่เป็นโต ก็ต้องยกย่องตามฐานะ)
รู้สึกจะเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยทั้งพระอาจารย์และลูกศิษย์ ทนไม่ได้จึงต้องขอทักท้วงสักหน่อย
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นหมอ
แต่เพราะ เป็นห่วงหลายๆคนที่อาจมาอ่านพบเข้า
อยากให้เข้าใจว่า ความเชื่อเรื่องการให้ ไม่ให้ยาลูกของท่านสอน เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ
และไม่แนะนำให้ทำตาม อย่าเอาชีวิตลูกมาเสี่ยงเลยครับ
หมอไม่ใช่เทวดาหรอกครับ แต่หมอก็ไม่ใช่ยมบาล แต่ละท่านก็คงพยายามที่จะใช้ความรู้ความสามารถสติปัญญาที่ศึกษามาอย่างเต็มที่เพื่อรักษาผู้ป่วย
อ้อ ท่านสอนคงไม่รู้ว่า หมอคนนี้ก็เคยชักมาก่อน แล้วก็กินยาฟีโนบาร์บ (phenobarb) มาเหมือนกัน
แล้วลูกหมอ ก็ชัก กินยากันชัก มาเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ
ท่านใดที่ลูกชัก ก็ไปพบหมอ(แพทย์) กินยาตามที่หมอสั่งให้ ดีแล้วละครับ
ฝากเรียนคุณนาย(ภรรยาคนใหญ่คนโต ก็ต้องเป็นคุณนาย จะไปเรียกตัวเองเป็น "ผอจ" ไม่ได้น่ะครับ) อย่าชื่นชมกันมากนัก เดี๋ยวจะเหลิง ไปกันใหญ่
หมอบุญชัยเขียนถูกใจครับ อิอิ
เปลี่ยนให้แล้วนะครับ...อาจารย์หมอบุญชัย..
จาก ผอจ.เป็นผคจ.ครับ....5555
ครับพระอาจารย์...
ที่จริงผมก็ขาดสติไป...จนลืมบอกเจตนาของการบันทึกเรื่องนี้...ด้วยเป้าหมายที่แท้จริงเพียงต้องการให้คนรู้สึกว่าการพึ่งตนเองเป็นสิ่งสำคัญ...ไม่เว้นแม้แต่เรื่องหมอเรื่องยาก็ตาม...
เพราะหากคิดเอาเพียงว่า...เรื่องนี้เราต้องพึ่งพาผู้อื่น...ไหนเลยปัญญาจะเกิดได้...
บังเอิญผมได้อ่าน เรื่องราวของ"คุณหมอสี่แผ่นดิน" ศ.น.พ.เฉก ธนะสิริ ผู้ตั้งเป้าไว้ว่าจะอยู่ถึง 120 ปี...บอก"จงจำไว้ว่า ยาทุกชนิดล้วนทำจากสารเคมี และมีผลกระทบต่อร่างกายทั้งสิ้น"...
สวัสดีค่ะ อาจารย์นายขำ
ท่านพี่ ขำขำ สบายดี