เด็กชายจอมหยิบปืนแก๊ปออกมาจากกระเป๋าเด็กชายบูมโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากเด็กชายบูมผู้เป็นเจ้าของ
ไม่ถึงสิบวินาทีต่อมาฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นแขน และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กชายเต้ยแฝดผู้น้องของเด็กชายเติ้ล
สาเหตุของอาการผิดปกติของคนสองคนค้นหาได้ไม่ยากนัก
เด็กชายจอมยืนหน้าซีดพร้อมกับปืนแก๊ปในมือที่ไม่รู้ว่ามีกระสุนอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเด็กชายบูมผู้เป็นเจ้าของที่หน้าตาตกตลึงสุดขีด
ฉันกับเด็กชายเต้ยโดนกระสุนที่ต้นแขนเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงมีแต่เด็กชายเต้ยเท่านั้นที่ร้องไห้ ฉันสั่งให้เด็กชายจอมเอาปืนไปเก็บ เพราะฉันบอกตั้งแต่เห็นเด็กชายบูมถือปืนเดินลงมาจากรถผู้ปกครองแล้วว่าห้ามเอาปืนมาเล่นที่โรงเรียนและถามกำชับว่ามีกระสุนหรือไม่ คำตอบขันแข็งคือไม่มีครับ
เวลาล่วงเลยไปหลายนาที เด็กชายเต้ยยังไม่หยุดร้องไห้ ทั้งๆ ที่ฉันและเพื่อนอีกคนที่ทำหน้าที่ครูเข้าไปดูอาการที่ต้นแขนแล้วพบว่าไม่ได้เป็นอะไร เพราะกระสุนโดนที่ฉันก่อนแล้วจึงแฉลบไปที่เด็กชายเต้ย นั้นแสดงว่า การไม่หยุดร้องไห้ไม่ได้เกิดจากอาการเจ็บ แต่เป็นเพราะอะไร ฉันก็ได้แต่สงสัย
ด้วยความที่เพื่อนของฉันเป็นครูที่จบการศึกษาเพื่อมาเป็นครู และเป็นผู้ชายเหมือนกัน ฉันจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนฉันที่คอยจัดการเพื่อให้เด็กชายเต้ยหยุดร้องไห้ พยายามสอบถามและพูดคุยว่าจะให้ครูทำอย่างไรให้หยุดร้องไห้ เจ็บหรือเดี๋ยวครูพาไปให้หมอดูตอนนี้เลย เด็กชายเต้ยยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เอาปืนมายิงเด็กชายจอมคืนเลยไหมจะได้เจ็บเท่ากัน คำตอบคือเด็กชายเต้ยลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น ตั้งคำถามร้อยแปด แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น แม้แต่เด็กชายเติ้ลแฝดผู้พี่เข้าไปดูอาการและปลอบใจก็ยังไม่เป็นผล ฉันกับเพื่อนจึงได้แต่มองหน้ากัน และปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป
ปล่อยเวลาผ่านไปสักระยะ เพื่อนฉันเข้าไปถามเด็กชายเต้ยอีกครั้งว่าจะให้ครูทำยังไงเต้ยถึงจะหยุดร้องไห้ เด็กน้อยยอมเอ่ยปากเป็นคำพูดครั้งแรกหลังจากเปล่งเสียงไม่เป็นภาษาอยู่นาน
"ห้ามบูมเอาปืนมาอีก"
"ให้ทำโทษจอม ขังไว้ที่โรงเรียน ไม่ให้กลับบ้านไปเจอพ่อแม่"
ฉันกับเพื่อนได้แต่อึ้ง...
ฉันบอกให้จอมกับบูมนั่งเฉยๆ อยู่หน้าเสาธงจนกว่าจะถึงเวลากลับบ้าน เพียงแค่เด็กชายสองคนรับคำสั่งและนั่งหน้าซึมอยู่ที่เสาธง เด็กชายเต้ยหยุดร้องไห้ กลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ และทำงานของตัวเองต่อจนเสร็จทั้งคราบน้ำตา
นี่คือ กระบวนการคิดของเด็กประถมสอง
ที่ยึดมั่นในความคิดที่คนทำผิดต้องถูกลงโทษ
ไม่สามารถยอมรับคำขอโทษได้
การให้อภัยได้ก็ต่อเมื่อเห็นคนทำผิดถูกลงโทษ
ห้วงแรกในความคิด ฉันโทษตัวเองว่าทำไมไม่ลงโทษเด็กชายจอมที่ทำให้เพื่อนเจ็บ คำตอบที่ฉันคิดได้ภายหลังคือ เด็กชายจอมไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฉันสามารถรับรู้ได้ว่าเด็กชายรู้สึกผิดไม่น้อย และกล่าวคำขอโทษพร้อมยกมือไหว้ทั้งครูและเพื่อนจากการกระทำผิดของตัวเอง ซึ่งฉันคิดว่านั้นเพียงพอ...แต่ฉันคิดผิดหรือนี่
ฉันมีโอกาสได้คุยกับน้องสาวของฉันที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กอเมริกันถึงเหตุการณ์นี้ เค้าเปรียบเทียบให้ฟังและให้แง่คิดกับฉันว่า นั่นเป็นผลของการเลี้ยงดูแบบคนไทย ซึ่งฉันเห็นด้วย...
ถ้าลูกหัวชนโต๊ะแล้วร้องไห้ พ่อแม่จะตีโต๊ะว่าทำให้ลูกเจ็บ
ในขณะที่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเด็กอเมริกัน
พ่อแม่จะบอกว่าลูกต้องระวังให้มากกว่านี้นะลูกจะได้ไม่เจ็บตัว
ฉันไม่ได้หมายความว่าการเลี้ยงลูกของคนอื่นดีกว่าคนไทย แต่มันสะท้อนถึงกระบวนการคิดของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องการให้อภัย
ฉันอาจคิดมากไป
คนผิดก็ต้องถูกทำโทษสิ
แล้วการให้อภัยละ จะถูกนำมาใช้เมื่อไร...
------ ^.^------
บันทึกจากโรงเรียนโรงรถของฉันและเพื่อน
มีฉันเป็นผอ.และเพื่อนฉันเป็นครูใหญ่
มีนักเรียน 11 คน สอนเวลาห้าโมงครึ่งถึงหนึ่งทุ่ม
เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่วัยแรงงานที่ไม่สามารถสอนการบ้านลูกได้ด้วยไม่มีเวลาและเกินความสามารถ
เพราะลูกกำลังเรียนในระดับที่มากกว่าระดับการศึกษาสูงสุดของตน
อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่า ตัวเองก็มีวิธีการเลี้ยงลูกอย่างที่คุณเล่า แต่สังคมไทยถูกปลูกฝังมาแบบนี้ พอจะนำเอาวิธีการเลี้ยงแบบฝรั่งมาใช้ มันไม่ได้ผล เพราะเด็กไทยไม่ยอมรับเหตุผลเหมือนเด็กฝรั่ง แต่ชอบนำเหตุผลไปใช้ในทางผิด เช่น วัฒนธรรมการแต่งตัว การมีเซ็กส์แต่วัยเด็ก ฯลฯ แต่พอนำเหตุผลมาใช้กับการขอโทษ หรือให้อภัย ก็ไม่ค่อยยอมรับกัน
สวัสดีคะ คุณพุทธเกษม
ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นจากผู้มีประสบการณ์ตรง
"เด็กไทยไม่ยอมรับเหตุผลเหมือนเด็กฝรั่ง"
แต่เลือกใช้แนวคิดและเลียนแบบสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีตามเหตุผลของตัวเอง...
นี้คือผลหนึ่งของกระแสโลกาภิวัฒน์ และทุนนิยมสุดโต่ง ที่เด็กเชื่อคนอื่นมากกว่าครอบครัว
(อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลัวการมีครอบครัวและบุตร...ฤา จะเป็นองุ่นเปรี้ยว...)
ในแต่ละวิธีการก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป บางทีเรามักจะชอบมองเห็นของคนอื่นดีกว่าของเราเอง แต่ไม่ได้กลับมองว่าสิ่งที่เป็นอยู่และอยู่กับตัวเราบางทีก็ดีและเหมาะสมกับเราแล้ว สิ่งแวดล้องและสภาพสังคมที่ต่างกันมีผลต่อการอบรมสั่งสอน เด็กฝรั่งอาจจะถูกสอนให้คิดเอง ทำเอง ซึ่งก็ช่วยเป็นพื้นฐานให้เด็กฝรั่งมักจะแยกออกจากครอบครัวได้เร็วกว่าเด็กไทย แต่ความสัมพันธ์แบบคอรบครัวใหญ่ๆ ที่เรามักเห็นในสังคมไทย ก็ไม่ค่อยมีในสังคมยุโรปและอเมริกา ซึ่งบางทีเราเองก็ตอบไม่ได้ว่า ความเป็นอยู่และวิถีชีวิตแบบไหนที่ดีกว่ากัน เป็นแบบที่เราเคยเป็นมา หรือจะเป็นแบบที่เค้าเป็นมา อย่างไหนล่ะที่ดี......
อ้ายเอก
สำหรับกำลังใจ ....มากกว่าคำขอบคุณคะ
-----^.^-----
"ทำได้ดีราวกับมืออาชีพ"
เล่นเอายิ้มแก้ปริยิ่งกว่าในรูปอีกคะ
สวัสดีครับคุณ พิมพ์ดีด
ขอบคุณที่แวะเข้าไปเยี่ยม ชอบเรื่องเกษตรเหมือนกันเลย เรื่องที่เล่าน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่มีใครสอนอย่างจริงจังเค้าจะเข้าใจอย่างนี้ไปจนโตหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ ..... นาสสะลวง