โรงพยาบาลคอกควาย


พอจะได้แก้ไขก็มีการประท้วง น่าตลกที่ว่าบางครั้งการประท้วงเกิดจากคนๆเดียว (ที่ไม่มีโอกาสทำให้ภรรยาท้องได้ ไม่เคยมีโอกาสเลี้ยงเด็กดาวน์ ไม่มีโอกาสดูแลคนไข้แท้งติดเชื้ออาการปางตาย) การตัดสินปัญหาก็ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

วันที่ 27 มิถุนายน 2550

วันนี้เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ ตื่นขึ้นมาไม่รู้กี่โมง แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานจนนาฬิกาปลุก กว่าจะออกจากที่พักก็ 7.15 น. รถราพลุกพล่านทีเดียว

                วันนี้ทำงานในคลินิกทั้งเช้าและบ่าย คนไข้ไม่ค่อยมาก ช่วงเช้าเราเปิด 4 ห้อง (สืบเนื่องจากการประชุมเมื่อวาน) สามารถเลิกคลินิกได้ภายในเวลา 11.30 น. ครูหาญเลยพอใจ ตอนเที่ยงผมแวะไปที่ห้องสมุดเพื่อยืมหนังสือมาอ่านหน่อย วันนี้ยืมหนังสือ urodynamic มาอ่าน

                เรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจในวันนี้คือ ได้มีโอกาสเหลียวมองรอบตัวบ้าง ก็พบว่าห้องสมุดของ KKH นี่ เป็นพิพิธภัณฑ์ไปในตัว เพราะมีการจัดแสดงเรื่องราวเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งโรงพยาบาลเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว เลยได้รู้ว่า KKH นั้นย่อมาจาก Kandang Kerbau ชื่อนี้มาที่มาครับ ทราบมาว่า ในสมัยก่อน บริเวณที่ตั้งของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ในเขต Little India ซึ่งตอนนั้น คนอินเดียที่เดินทางมาเขานิยมทำปศุสัตว์ บริเวณนั้นมีแม่น้ำเล็กๆไหลผ่าน อันเป็นทำเลที่ดีมาก บริเวณนี้จึงมีคอกเลี้ยงวัวควายอยู่มากมาย Kandang แปลว่าคอกหรือที่กั้น ส่วน Kerbau แปลว่าควาย (ลองอ่านดีๆนะครับ เขาอ่านว่า คาราบาว เป็นภาษามาเลย์) ฉะนั้น KKH จึงแปลว่า โรงพยาบาลคอกควายนั่นเอง

                สิ่งที่ผมประทับใจอย่างมาก ณ ที่นี้ก็คือ เขาเก็บอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆไว้แสดงให้ดูมากมาย เช่น ตุ๊กตาเด็กที่ใช้ในการสอนทำคลอด ซึ่งเก่ามากจนดูน่ากลัว เครื่องมือช่วยคลอดสมัยต่างๆ คีม เครื่องดูดสุญญากาศ เครื่องมือทำแท้ง เริ่มต้นโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่รักษากามโรค แต่ต่อมาถูกวางให้เป็นโรงพยาบาลสถานดูแลครรภ์ เขาตั้งชื่อว่า KK Maternity Hospital ก่อนจะกลายมาเป็น KK Women’s and Children’s Hospital ดังเช่นในปัจจุบัน ที่นี่เคยถูกบันทึกไว้โดย Guinness Book of World Records ว่าเป็นโรงพยาบาลแม่และเด็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 1966 และ 1976

                นอกจากจะเป็นโรงพยาบาลแม่และเด็กแล้ว เขายังให้บริการการยุติการตั้งครรภ์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลเลยเชียว ผมได้เห็นอุปกรณ์การยุติการตั้งครรภ์แบบต่างๆ ทั้งที่ใช้ในช่วงแรกจนกระทั่งถึงช่วงก่อนคลอด อย่างที่พวกผมเรียกว่า หัตถการทำลายเด็ก ฟังดูแล้วอาจจะน่าหวาดเสียวสำหรับหลายคน แต่อย่าลืมว่า ในสมัยก่อนที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า ไม่สามารถให้บริการผ่าท้องคลอดได้ หรือที่เรียกว่าหากผ่าแล้วแม่ตายแน่ ดังนั้นในกรณีที่ทารกมีปัญหาหรือไม่สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ หรือมดลูกจะแตก เขาจะต้องทำให้เด็กในครรภ์เสียชีวิตก่อนแล้วคีบออกมา คิดดูครับว่าน่ากลัวและน่าสงสารขนาดไหน ผมดูเครื่องมือไปก็ขนลุกไป เทียบกับสมัยนี้ที่การดูแลดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก การผ่าตัดคลอดสามารถทำได้อย่างง่ายดาย หรือแม้กระทั่งการยุติการตั้งครรภ์ก็สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆจนถึงตัวโตย่างเข้ามาถึงไตรมาสที่สองแล้ว ก็ยังปลอดภัย

                ที่ KKH นี้ เขาให้บริการยุติการตั้งครรภ์กันเป็นเรื่องปกติมากครับ ทุกวันจะมีการขูดมดลูกในห้องผ่าตัดประมาณ 10 ราย และอีกกี่รายไม่ทราบได้ในห้องผ่าตัดเล็ก (ผมเคยแอบนับดู ก็ราวๆ 15-20 รายก็มี) นี่ขนาดรัฐบาลเขาต้องการเด็กนะครับ แต่รัฐบาลเขายังเล็งไปไกลมากกว่านั้น ก็คือเขาต้องการเด็กที่มีคุณภาพ หากออกมาแล้วไม่มีคนเลี้ยงหรือเลี้ยงไม่ดีก็คงจะแย่ เขาจึงอนุญาตให้มีการยุติการตั้งครรภ์ได้ อีกอย่างก็คือ ผู้หญิงของเขาจะได้ไม่มีการไปทำแท้งเถื่อนให้ติดเชื้อเล่นเหมือนที่บ้านเราครับ คนไข้ก็ได้รับการดูแลจากหมอและพยาบาลอย่างเท่าเทียบกับคนไข้อื่นๆ หมอที่ทำแท้งให้ก็ได้เงินไป ไม่ว่าจะเป็น consultant หมอใช้ทุน (MO) หรือ registra และเงินที่ได้รับก็เป็นเงินที่หมุนเวียนในระบบของโรงพยาบาลเองด้วย ดูเหมือนบุคลากรทุกคนจะยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างที่บอก เขาแคร์เรื่องการแท้งติดเชื้อที่ส่งผลเสียต่อผู้หญิงของเขามากเหนือกว่าสิ่งใดจริงๆ

                ประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว เขาจะคิดถึงความต้องการพื้นฐานและความปลอดภัยของพลเมืองของเขา มากกว่าสิ่งใด (ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นเรื่องการทำแท้งเท่านั้นนะครับ) ทั้งๆที่เขามีคนหลายเชื้อชาติ  หลายศาสนามาอยู่ร่วมปะปนกัน ก็ยังไม่มีปัญหา เมื่อมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา แค่เรื่องกฎหมายการยุติการตั้งครรภ์ ก็มีการถกเถียงกันมามากว่า 20 ปี แก้หรือไม่แก้ดี พอจะได้แก้ไขก็มีการประท้วง น่าตลกที่ว่าบางครั้งการประท้วงเกิดจากคนๆเดียว (ที่ไม่มีโอกาสทำให้ภรรยาท้องได้ ไม่เคยมีโอกาสเลี้ยงเด็กดาวน์ ไม่มีโอกาสดูแลคนไข้แท้งติดเชื้ออาการปางตาย) การตัดสินปัญหาก็ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล นักการเมืองก็เป็นห่วงเสียงตัวเองมากไปกว่าความต้องการหรือความปลอดภัยของประชาชน บ้านเมืองเราจึงเป็นแบบนี้ยังไงเล่า

                วันนี้กลับที่พักได้เร็ว เพราะตอนบ่ายก็สามารถจัดการเคลียร์คนไข้ได้รวดเร็วดีจริงๆ อยากจะเขียนเรื่อง แผนการในใจที่คิดจะเปิดคลินิกซ่อมช่วงล่างที่ม.อ.บ้าง ก็คงต้องเป็นครั้งหน้า

 
หมายเลขบันทึก: 106840เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2007 21:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 17:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ

วันนี้จะไปธุระ  เลยมาเปิดคอมดูก่อน เจอคุณหมอเล่าเรื่องอย่างเป็นระเบียบ เป็นขั้นเป็นตอนดีจังค่ะ

Good morningนะคะ

อ่านบันทึกคุณหมอบ่อยๆ ให้ความรู้ดีจริงๆค่ะ

แสดงว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงในเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์ไม่น้อยนะคะ

  ถ้าผู้หญิง ตั้งครรภ์และลูกหัวใจไม่เต้นในท้อง ตอนอายุครรภ์ได้8อาทิตย์ นี่สาเหตุเพราะอะไรคะ อย่างนี้ ต้องขูดมดลูก แต่ไม่อันตรายใช่ไหมคะ

สวัสดีครับคุณ

เรื่องเด็กอายุครรภ์ 8 สัปดาห์หัวใจไม่เต้นนั้น เราต้องแน่ใจว่า 8 สัปดาห์จริงๆก่อนครับ เพราะส่วนมากเราจะเริ่มเห็นหัวใจเขาเต้นเมื่ออายุ่ครรภ์ 6 สัปดาห์ราวๆนั้น

ดังนั้นหากอายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ยังไม่มีการเต้นของหัวใจ น่าจะเกิดจาก

1. อายุครรภ์น้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น หมอต้องวัดขนาดตัวเด็กใหม่ แล้วคำนวณอายุครรภ์ใหม่

2. เครื่องอัลตราซาวนด์ไม่ดี ความคมชัดน้อย ก็คงเห็นยากหน่อย

3. เด็กเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุมาก ส่วนใหญ่เกิดจาก ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด คือธรรมชาติเป็นผู้คัดสรรครับ ธรรมชาติจะพยายามเขี่ยเด็กที่มีงวง มีตาเดียว ไม่มีสมอง ออกไปก่อน

คนท้อง

ขอโทษทีครับคุณ sasinanda

ยังเล่าไม่จบเลย เดี๋ยวนี้ G2K เป็นอะไรก็ไม่รู้ รวนๆชอบกล ต่อนะครับ

ปกติคนท้อง 100 คน ธรรมชาติจะคัดออกไปประมาณ 10 คน นั่นคือทำให้แท้งครับ และอีก 90 คนที่เหลือก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดปลอดภัยทุกราย นี่เป็นธรรมชาตินะครับ

เมื่อพบว่าทารกในครรภ์ 8 สัปดาห์เสียชีวิตแล้ว เราสามารถรอได้อีกระยะหนึ่งครับ เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง แต่ก็บอกยากครับว่าจะหลุดเมื่อไหร่ ยิ่งถ้าหากมีเลือดออก ไปหาคุณหมอ ฉีดยากันแท้งให้แล้วล่ะก็ อาจจะออกยาหรือแท้งค้างไปเลยก็ได้

หมอส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะขูดมดลูกให้เลย เพราะว่า สะดวก ไม่ต้องรอเวลาว่าเลือดจะออกเมื่อไหร่ (แท้ง) เผื่อออกตอนดึกๆ เดี๋ยวจะยุ่งกันหลายคนครับ

  • มาขอบคุณ
  • โอโห ซ่อมช่วงล่างเลยหรือครับ
  • ฮ่าๆๆๆๆๆ

ครับผมอ.ขจิตที่เคารพ

ซ่อมช่วงล่างจริงๆครับ

เดี๋ยวนี้คนเราอายุยืนขึ้น ซึ่งเป็นที่น่ายินดี แต่สิ่งที่มากับอายุและวัยทองคือ การที่มีอุ้งเชิงกรานหย่อน หย่อนลงมาตามแรงโน้มถ่วงที่มีค่า g=10 ตามที่เคยเรียนกันมานั่นแหละครับ เราคงต้องรออีกนานกว่าที่จะได้ไปอยู่ในดาวที่มี g<10 นั่นน่าจะลดการหย่อนยานได้ระดับหนึ่งเลย

นอกจากการหย่อนยานต่ำลงมาแล้ว (มดลูกหย่อน) อาจจะตามมาด้วยการมีปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย ตื่นมาฉี่บ่อย นี่แหละเป็นสาเหตุที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่ในขณะนี้ครับ

  • สวัสดีคะ คุณธนพันธ์ ชูบุญ
  • ตามมาอ่านเรื่องเล่าจาการทำงานด้วยคน
  • เมื่อถึงวัยอันควรคงต้องถามหาเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างนี้แน่เลย "ซ่อมช่วงล่าง" นี่หน่ะคะ อิอิ

สวัสดีครับคุณ P 

ไม่จำเป็นต้องได้รับการซ่อมทุกคนหรอกครับ ดูตัวอย่างพ่อแม่พวกเรานั่นประไร สบายจะตาย

ขอเพียงดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ไม่ใช้งานเขามากเกินไป บำรุงเขาด้วยสิ่งดีๆ เท่านี้ก็หายห่วงครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท