ปาฐกาถา ปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2550 : อภิรัฐธรรมนูญไทย โดย ผศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2550 : ‘อภิรัฐธรรมนูญไทย’ โดย ผศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล |
|
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ มาเป็น ‘ประชาธิปไตย’ รัฐธรรมนูญถูกคาดหมายให้เป็นกติกาสูงสุดของประเทศ แต่ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญไทยตกอยู่ภายใต้วงจรของ ‘ร่าง-ใช้-ฉีก’ มาโดยตลอด จึงเป็นความย้อนแย้งที่กฎหมายสูงสุดกลับไร้กรอบ,ระเบียบ และกติกาอย่างยิ่ง แต่ ผศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ก็ได้เสนอว่ามีสิ่งที่เรียกว่า ‘อภิรัฐธรรมนูญ’ คอยกำกับความเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไทยอยู่โดยตลอด
ประเด็นการปาฐกถาของ ผศ.สมชาย ครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องใน “โครงการปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2550 ในวาระครบรอบ 75 ปี การอภิวัฒน์ไทย 24 มิถุนายน 2475 ณ ห้องประชุมสถาบันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจัดขึ้นในในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2550 ‘ประชาไท’ ได้สรุปความการปาฐกถาดังกล่าวให้ผู้อ่านได้อ่านกัน ก่อนที่ปาฐกถาฉบับเต็มจะตามมาเร็วๆ นี้
รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับเมื่อพิจารณาถึงสัมพันธภาพทางอำนาจของกลุ่มต่างๆ ในสังคมซึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญแล้วจะพบว่าสังคมไทยแท้จริงแล้วอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเพียง 3 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญฉบับรัฐสภานิยม รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยม และรัฐธรรมนูญฉบับกึ่งรัฐสภากึ่งอมาตยาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับรัฐสภานิยม มีลักษณะสำคัญ คือ ประการแรก การสถาปนาอำนาจรัฐสภาเหนือองค์กรต่างๆ รัฐสภากำกับการทำงานของฝ่ายบริหาร รัฐสภาสามารถออกกฎหมายได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่นอกเหนือการเมือง ประการที่สอง การสถาปนาอำนาจรัฐสภาต้องมาจากเงื่อนไขที่ว่ามาจากการคัดเลือกของประชาชนซึ่งมีปัจจัยสำคัญคือการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นระบบสภาเดี่ยวหรือสภาคู่ ประการที่สาม การสถาปนาอำนาจของรัฐสภาก็เพื่อให้เป็นองค์กรที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างชัดเจน ระบบราชการและข้าราชการประจำมีบทบาทในฐานะผู้ปฏิบัติงาน บุคคลที่จะเข้ามาในระบบรัฐสภาก็ต้องไม่ดำรงตำแหน่งในระบบราชการด้วย รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยม ซึ่งมาจากการฉีกรัฐธรรมนูญ มีหลักการพื้นฐานคือ “อำนาจคือธรรม” มีลักษณะสำคัญ คือ ประการแรก รัฐสภาจะให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งซึ่งไม่ปรากฏคุณสมบัติ หลักเกณฑ์และขั้นตอนที่ชัดเจน ประการที่สอง รัฐธรรมนูญจะรองรับการใช้อำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคณะรัฐประหารและคณะรัฐบาลที่สืบทอดมาจากการรัฐประหาร ไม่ว่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ประการที่สาม คณะรัฐประหารยอมรับและสถาปนาความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในการสร้างความชอบธรรมให้ตน ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันกษัตริย์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจารีตในการรัฐประหารและการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่อีกด้วย รัฐธรรมนูญฉบับกึ่งรัฐสภากึ่งอมาตยาธิปไตย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าอยู่ระหว่างสองแบบข้างต้น มีลักษณะสำคัญ คือ ประการแรก ยอมรับระบบเลือกตั้งในการเป็นแหล่งความชอบธรรมของการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ประการที่สอง ยอมรับบทบาทของข้าราชการประจำในการมีส่วนทางการเมืองทั้งในระบบรัฐสภาและฝ่ายบริหาร ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจเพิ่มขึ้นและสูงส่งขึ้น ตัวอย่างสำคัญคือ ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2492 และเป็นจารีตจนมาถึงปัจจุบัน อนาคตของรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับรัฐธรรมนูญฉบับรัฐสภานิยมซึ่งเป็นการสถาปนาอำนาจรัฐสภาให้สูงกว่าสถาบันการเมืองอื่นมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความคิดความเชื่อที่ว่านักการเมืองเป็น ‘อัปรียชน’ ที่ไว้ใจไม่ได้ รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยมยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอตราบเท่าที่การรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารทั้งในทางการเมืองและทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม อายุของรัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยมจะค่อยๆ สั้นลงเพราะมีการขยายตัวของพลังประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับกึ่งรัฐสภากึ่งอมาตยาธิปไตย มีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการเมืองไทย เพราะความไม่ไว้วางใจในนักการเมือง แต่ก็ยังจะให้มีระบบเลือกตั้งเพราะยึดโยงกับประชาชน พร้อมกันนั้นจะมีองค์กรกำกับความประพฤตินักการเมือง โดยมักมาจากข้าราชการประจำ แต่เดิมผสมปนเปกันระหว่างฝ่ายทหารและข้าราชการต่างๆ ขณะที่ปัจจุบันนั้นบทบาทหลักจะเป็นบุคลากรจากองค์กรด้าน ‘ตุลาการ’ เป็นหลัก ธรรมนูญของรัฐธรรมนูญไทยแม้ว่ารัฐธรรมนูญไทยจะพบกับวงจร ‘ฉีก-เขียน’ อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังมีลักษณะบางประการที่ได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามจนเป็นบรรทัดฐานในรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งอาจถือเป็นธรรมนูญของรัฐธรรมนูญไทย 5 ประการ 1.รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดชั่วคราวรัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนในห้วงเวลาของการเริ่มต้นประชาธิปไตยคาดหมายต่อความยั่งยืนของรัฐธรรมนูญ ดังในคำปรารภของรัฐธรรมนูญ 2475 ที่ปรากฏข้อความที่ว่า “ให้ยืนยงอยู่คู่กับสยามรัฐสีมาตราบเท่ากัลปาวสาน” และมีข้อความแสดงความคาดหมายดังกล่าวมาจนถึงหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2495 ซึ่งความคาดหมายดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ตระหนักถึงความถาวรอีกต่อไป ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นผลจากที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญหลายๆ ครั้งในช่วงเวลาต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน 2.ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร จะอยู่ภายใต้เผด็จการหรือประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็จำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ แต่ก็มีบางช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ซึ่งจะเกิดหลังจากการยึดอำนาจของคณะรัฐประหารต่างๆ 3.จารีตประเพณีในการฉีกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญการฉีกรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหารและประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหารภายใต้พระบรมราชโองการ มีสถานะเป็นจารีตประเพณีของการฉีกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญในสังคมการเมืองไทยแล้ว 4.รัฐธรรมนูญไทยยิ่งเขียนยิ่งยาวเมื่อพิจารณาเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะพบว่ามีปัจจัยที่ทำให้ยิ่งเขียนยิ่งยาวคือ ประการแรก วงจรชีวิตของรัฐธรรมนูญที่สั้นทำให้ไม่เกิดจารีตรัฐธรรมนูญ ประการที่สอง การตีความรัฐธรรมนูญไม่เป็นที่ยอมรับในหลายกรณีที่ได้มีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ เมื่อเกิดรัฐธรรมนูญใหม่จึงเขียนรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้นไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ ประการที่สาม การเป็นฐานความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญทำให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลพยายามผลักดันให้ประเด็นที่ตนเห็นว่าสำคัญได้เข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจเป็นการคาดหวังถึงผลในการให้ความสำคัญในทางกฎหมายจากรัฐธรรมนูญ 5.รัฐธรรมนูญชั่วคราวเป็นของชนชั้นนำ รัฐธรรมนูญถาวร (ดูราวกับว่า) เป็นของประชาชนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้นกระบวนการจัดทำมาจากชนชั้นนำโดยมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีกระบวนการทำให้เกิดภาพว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วม คือ ประการที่หนึ่ง ตั้งองค์กรร่างรัฐธรรมนูญโดยสมาชิกมาจากการเลือกตั้งภายใต้การแต่งตั้ง ซึ่งแม้จะเปิดกว้างขึ้น แต่ประชาชนก็ไม่สามารถคัดเลือกได้จริงๆ ประการที่สอง การรับฟังความคิดเห็น แต่มีปัญหาคือไม่ปรากฏหลักเกณฑ์ คัดเลือก กลั่นกรอง สรุปและเสนอเป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ประการที่สาม การลงประชามติ ซึ่งอาจมีปัญหาคือการไม่กำหนดจำนวนเสียงขั้นต่ำ ทำให้เพียงแค่เสียงข้างมากของผู้ลงคะแนนซึ่งอาจมีจำนวนน้อยก็ทำให้ประชามตินั้นผ่านได้
รัฐธรรมนูญภายใต้อภิรัฐธรรมนูญไทยธรรมนูญของรัฐธรรมนูญไทยข้างต้น มีผลให้รัฐธรรมนูญไทยอยู่ในสภาวะแห่งความขัดแย้งภายในตัวเอง ทั้งการร่างโดยรู้ว่าจะถูกฉีกในอีกไม่นาน การเป็นกฎหมายสูงสุดในระยะเวลาชั่วคราว ประชาชนมีส่วนร่วมแต่ก็จำกัดขอบเขต หรือเขียนให้ยาวทั้งที่ไม่สามารถเขียนให้ครอบคลุมได้ อย่างไรก็ดี ตลอดการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของกลุ่มต่างๆในช่วง 75 ปี จะพบว่าระบอบการเมืองของไทยเป็นระบอบที่เป็นการดำรงอยู่ร่วมกันของระบบรัฐสภา พลังอมาตยาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออาจเรียกว่า ‘การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ระบอบนี้จะเป็น ‘อภิรัฐธรรมนูญ’ ที่อยู่เหนือและคอยกำกับความเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย ตราบเท่าที่ยังอยู่ภายใต้ ‘อภิรัฐธรรมนูญ’ นี้ ความขัดแย้งในตัวเองของรัฐธรรมนูญไทยก็จะดำรงอยู่ต่อไป การจะหลุดไปจากสภาวะความขัดแย้งนี้ต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับ ‘อภิรัฐธรรมนูญ’ เช่นเดียวกับเมื่อ 75 ปีที่ผ่านมา
|
โดย : ประชาไท วันที่ : 25/6/2550
|
|
อ้างอิง : ข้อมูลจาก ประชาไท
http://www.prachatai.com/05web/th/home/