ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ องค์ความรู้ในเนื้องานส่งเสริมการเกษตร ที่เกิดขึ้นมาจากฝือมือของเจ้าหน้าที่ หรือ "นักส่งเสริมการเกษตร"
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การบริหารจัดการ กำลังคน ทรัพยากร การสนับสนุน องค์ความรู้ ความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษา และองค์ความรู้ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เราจึงควรจะทำอย่างไรดี?
"ศูนย์การเรียนรู้" จึงได้ทดลองนำเข้ามาใช้เพื่อรวบรวมและสร้างการเรียนรู้ระหว่างเจ้าหน้าที่กับเกษตรกรตามความต้องการ คือ เจ้าหน้าที่จะมีวิธีการทำอย่างไรก็ได้ให้เกษตรกรสามารถเรียนรู้ตามสิ่งที่เขาต้องการให้ได้? ตัวอย่างเช่น จัดการเรียนการสอนโดยการ "ถาม - ตอบ หรือ การยกตัวอย่างที่สำเร็จมาเล่าให้ฟัง หรือการอภิปรายร่วมกัน หรือการศึกษาดูงาน หรือการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือการทดลองทำ หรือการสาธิต เป็นต้น"
ในขณะที่กำลังดำเนินการสิ่งนี้ได้ประมาณปีครึ่ง ก็ได้มี "PAR หรือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม" เข้ามาในวงการทำงานส่งเสริมการเกษตร ฉะนั้น การศึกษาเรียนรู้ PAR จึงเริ่มเกิดขึ้นร่วมกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาะราช หลังจากนั้น ปีที่ 2 PAR จึงได้ถูกนำเข้ามาทดลองใช้กับงานที่ทำ โดยนำไปประสม กับ งานศูนย์การเรียนรู้ แล้วในปีเดียวกันก็ได้มี "KM หรือ การจัดการความรู้" เข้ามาสู่องค์กร ดิฉันจึงได้ทำการศึกษาและทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าวร่วมกับทีมงาน
หลังจากนั้น ดิฉันจึงได้ลองนำ "ศูนย์การเรียนรู้ มาประสมกับ PAR และประสมกับ KM" (ศูนย์การเรียนรู้ + PAR + KM) การประสมดังกล่าวเป็นผลมาจากหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่ดิฉันร่วมปฏิบัติและเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยี ต่างต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานเหล่านั้นด้วย
คำตอบที่เกิดขึ้น คือ
1. ศูนย์การเรียนรู้ จะไม่สมบูรณ์ได้ถ้าเจ้าหน้าที่หรือทีมปฏิบัติงานไม่เข้าใจ PAR และ KM
2. ศูนย์การเรียนรู้ จะค้นพบแค่ "แนวทางและวิธีการสร้างและการจัดทำให้เกิดขึ้นได้เท่านั้น" ถ้าเจ้าหน้าที่หรือทีมปฏิบัติงานไม่เข้าใจ PAR และ KM
3. ศูนย์การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรมและสามารถจับต้องได้ ถ้าเจ้าหน้าที่เข้าใจ PAR และ KM
ฉะนั้น "วิจัยชุมชน" จึงเป็นองค์ความรู้ที่สามารถทำให้เนื้องานส่งเสริมการเกษตร "ไม่ตาย" และ "การจัดการความรู้" เป็นตัวสนุบสนุนและนำทางให้องค์ความรู้ในเนื้องานส่งเสริมการเกษตรทั้งของเจ้าหน้าที่และเกษตรกรเผยแพร่สู่บุคคลอื่นได้เป็นรูปธรรม เพราะมีทั้งเป้าหมาย การเติมความรู้ที่ขาดหายให้ และมีการจัดเก็บให้ใช้
ได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ข้อสงสัยของดิฉันก็คือ แล้วจะนำทั้ง 3 ตัวละคร มาประกอบกันได้อย่างไรละ? ที่เป็นเนื้อผสมที่ลงตัวได้.
ออกจะช้า ที่เพิ่งได้เข้ามาอ่าน แต่เป็นประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณค่ะ
ศูนย์การเรียนรู้ จะไม่สมบูรณ์ได้ถ้าเจ้าหน้าที่หรือทีมปฏิบัติงานไม่เข้าใจ PAR และ KM
เห็นด้วยค่ะ แต่สงสัยอยู่คือ จะทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่เข้าใจ KM , PAR ถ้า CKO บางคนยังพูดว่าเราไม่ต้องพูดเรื่อง KM กันหรอก เพราะมันอยู่ในการปฏิบัติ จนท.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าวันนี้แสดงบทอะไร และต้องทำอะไรในบทบาทนั้น ถ้า CKO ไม่ให้สำคัญในการพัฒนาบุคลากร เพียงแต่จะให้บุคลากรทำตาม และคิดเอาเองว่า อืม มันจะซึมซับเข้าไปในตัวเขา
แต่มองดูแล้วเหมือนพื้นฐานไม่แน่น หรือเป็นการเรียนลัดเกินไป
ชื่อเรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนการจัดสวนถาดแบบชื้น
ผู้ศึกษา นายรักษพล ชิตูมปูน
ปีการศึกษา 2550
กลุ่มสาระ การงานอาชีพและเทคโนโลยี
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนการจัดสวนถาดแบบชื้น มีวิธีดำเนินงานคือใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และนำเทคนิค AIC ซึ่งเป็นเทคนิคในการระดมความคิด การวางแผน และทำงานร่วมกันของนักเรียนมาเป็นกรอบในการดำเนินงานวิจัย โดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมตั้งแต่การค้นหาปัญหา การหาสาเหตุของปัญหา วิธีการแก้ปัญหา ตลอดจนการประเมินผล
วิธีการประเมินผล ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีความรู้มาร่วมกันประเมิน ประกอบด้วย 3 ฝ่ายคือ 1) ผู้เชี่ยวชาญในการจัดสวนถาด 2) ผู้ปกครองนักเรียนที่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดสวนถาด 3) นักเรียนร่วมกันประเมินผลงานการเขียนแบบแปลนของตนเองและผู้เรียนกลุ่มอื่น ผลการศึกษาพบว่าสามารถพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนของนักเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดได้ทุกกลุ่ม
ติดต่อคุณรักษพล ซิตูมปูน
056-761699
ชื่อเรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนการจัดสวนถาดแบบชื้น
ผู้ศึกษา นายรักษพล ชิตูมปูน
ปีการศึกษา 2550
กลุ่มสาระ การงานอาชีพและเทคโนโลยี
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนการจัดสวนถาดแบบชื้น มีวิธีดำเนินงานคือใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และนำเทคนิค AIC ซึ่งเป็นเทคนิคในการระดมความคิด การวางแผน และทำงานร่วมกันของนักเรียนมาเป็นกรอบในการดำเนินงานวิจัย โดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมตั้งแต่การค้นหาปัญหา การหาสาเหตุของปัญหา วิธีการแก้ปัญหา ตลอดจนการประเมินผล
วิธีการประเมินผล ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีความรู้มาร่วมกันประเมิน ประกอบด้วย 3 ฝ่ายคือ 1) ผู้เชี่ยวชาญในการจัดสวนถาด 2) ผู้ปกครองนักเรียนที่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดสวนถาด 3) นักเรียนร่วมกันประเมินผลงานการเขียนแบบแปลนของตนเองและผู้เรียนกลุ่มอื่น ผลการศึกษาพบว่าสามารถพัฒนาทักษะการเขียนแบบแปลนของนักเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดได้ทุกกลุ่ม
ติดต่อคุณรักษพล ซิตูมปูน
056-761699
ขอบคุณค่ะ
คุณค่ะ
งานวิจัยเชิงปฏิบัติการ และงานวิจันชุมชนแตกต่างหรือไม่
อยากศึกษา
อัจฉรา แสงสิริโรจน์