พระพุทธเจ้า 10 ชาติ


เอาไว้เป็นความรู้เพิ่มเติม (แต่เอาแค่ ชาติที่ 1ก่อนนะครับ)

ชาติที่ 1 เตมีย์ใบ้

     เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้วยังมีกษัตริย์แห่งพาราณสีพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้ากาสิกราช ผู้มีพระมเหสีคือพระนางจันทเทวี
      พระเจ้ากาสิกราชนั้นมีพระชนม์มายุล่วงเลยวัยกลางคนไปนักแล้ว แต่ทว่ายังไม่มีราชโอรสและพระราชธิดาแม้แต่องค์เดียว จึงทรงหวั่นพระทัยว่าจะไม่มีหน่อเนื้อเชื้อไขขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อไป พระองค์จึงให้อัครมเหสีจันทเทวีกับบรรดานางสนมกำนัลทั้งปวงร่วมกันจัดพิธีบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินเพื่อขอพระราชโอรส
      หลังจากที่ในราชวังประกอบพิธีใหญ่มีการบำเพ็ญกุศลจัดงานบริจาคทาน และมีพราหมณ์มาทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงเทพยดากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง หลังจากงานพิธีมินานนัก พระอัครมเหสีจันทเทวี ก็ทรงพระครรภ์
      พระเจ้ากาสิกราชทรงปลาบปลื้มในพระทัยนัก ครั้นเมื่อครบกำหนดทศมาสแล้วพระนางจันทเทวีก็ประสูติราชกุมารในคืนวันที่สายฝนตกโปรยปรายไปทั่วทั้งนครพาราณสี พระเจ้ากาสิกราชทรงปิติยินดีเป็นล้นพ้น ด้วยเพราะการที่ฝนตกบันดาลความชุ่มชื้นให้ปวงชนทั่วทั้งนครนั้น ย่อมเป็นนิมิตหมายอันดีบ่งบอกถึงวาสนาบารมีของพระราชกุมารองค์นี้เป็นแน่แท้
      พระเจ้ากาสิกราชทรงตั้งพระนามราชโอรสว่า เตมีย์ พระองค์ทรงเมตตารักใคร่ในพระราชกุมารเป็นอันมาก ทรงอุ้มพระราชกุมารน้อยออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงด้วยเป็นนิจ
      ในครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้ากาสิกราชอุ้มพระราชโอรสออกไปว่าข้าราชการดังเช่นเคย
วันนั้นบรรดาอำมาตย์มุขมนตรีฝ่ายตุลาการได้นำโจรร้าย ๔ คนเข้ามาทรงแจงคดีวินิจฉัยหน้าพระที่นั่ง
      เมื่อฟังข้อคดีความแล้วพระเจ้ากาสิกราชก็ทรงวินิจฉัยดังนี้
      ให้เฆี่ยนด้วยหนามหวายแก่โจรคนที่ ๑
  ให้เอาหอกแทงเพื่อทรมานให้บังเกิดความเจ็บปวดทุรนทุรายแก่โจรคนที่ ๒
      ให้เอาหลาวเสียบไว้จนตายทั้งเป็นแก่โจรคนที่ ๓
      ให้คุมขังไว้จนตายแก่โจรคนที่ ๔
      ฝ่ายพระราชโอรสเตมีย์เมื่อได้ฟังข้อวินิจฉัยของพระราชบิดาเช่นนั้นก็ทรงวิตกกังวลในพระทัยยิ่งนัก ด้วยเพราะทรงสามารถรำลึกถึงอดีตชาติได้ว่าในชาติหนึ่งนั้นพระองค์เองเคยตกลงไปในขุมนรก และหากพระราชบิดาทำเวรทำกรรมแก่บุคคลอื่นเช่นนี้ หากเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็ต้องไปตกนรกหมกไหม้อีกเป็นแน่แท้ ฝ่ายตัวพระองค์เองนั้นเล่าเมื่อเจริญพระชนมายุขึ้นไปก็ย่อมต้องขึ้นครองบัลลังก์สืบสกุลต่อไป และย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีการวินิจฉัยโทษคนให้เป็นการทำเวรทำกรรมกันต่อไปอีก
      และเมื่อสิ้นภพนี้ชาตินี้ พระองค์ก็ต้องลงไปชดใช้กรรมในขุมนรกหมกไหม้อีกหลายกัปหลายกัลป์เป็นแน่
เมื่อคิดดังนั้นแล้วพระราชโอรสเตมีย์ก็ทรงครุ่นคิดวนเวียนไปมาอยู่ในพระทัยว่า
      “ทำเช่นใดหนอ เราจึงจะพ้นไปจากการต้องเป็นพระราชาได้ในวันข้างหน้า
      เมื่อทรงกลัดกลุ้มเช่นนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งผู้เคยเป็นพระมารดาของพระราชโอรสเตมีย์ในปางก่อน ซึ่งบัดนั้นได้ประทับสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรในท้องพระโรง ได้ล่วงรู้ความคับข้องพระทัยของพระเตมีย์จึงได้สำแดงฤทธาส่งเป็นกระแสจิตแนะนำแก่พระเตมีย์ดังนี้
     
ถ้าพระองค์มิทรงปรารถนาในพระราชบัลลังก์ขอให้ปฏิบัติใน       ๓ ทางคือ
      พึงเป็นคนใบ้
      พึงเป็นคนหูหนวก
      พึงเป็นคนง่อย

      หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากเทพธิดาแล้ว พระเตมีย์ราชโอรสก็ปฏิบัติพระองค์เช่นนั้นคือมิทรงตรัสวาจาอันใดแม้สักคำเดียว และทรงวางองค์นิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินคำพูดของผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังประทับนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ มิว่าถูกอุ้มไปวางไว้ ณ ที่แห่งใดก็ทรงนั่งอยู่ ณ แห่งนั้น มิขยับองค์แม้แต่น้อยดังเช่นคนเป็นง่อยกระนั้น
      พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของราชโอรสเช่นนั้นก็ให้วิตกกังวลพระทัยเป็นยิ่งนัก
      ด้วยเพราะแต่ก่อนนี้พระราชกุมารน้อยก็ยังทรงประพฤติองค์เหมือนเช่นเด็กทั่วไปในพระราชวัง ทั้งยิ้มแย้มแจ่มใสเจรจาเจื้อยแจ้วและเล่นหยอกเย้ากับผู้นั้นผู้นี้ตลอด
      แต่จู่ๆ มาบัดนี้พระเตมีย์น้อยก็กลับทรงเงียบนิ่งมิยิ้มแย้ม มิทรงพระสรวล มิพูดจากับผู้ใดแม้แต่พระราชบิดามารดาของตน
   พระเจ้ากาสิกราชทรงรับสั่งให้แพทย์หลวงมาตรวจก็มิพบวี่แววว่าเป็นโรคภัยอันใด
พระเจ้ากาสิกราชทรงทดลองกระทำตามที่บรรดาโหรพราหมณ์และอามาตย์มุขมนตรีทั้งหลายแนะนำ เป็นต้นว่า ให้พระพี่เลี้ยงอุ้มพระเตมีย์วางไว้ในที่อันสกปรก เพื่อหวังให้พระเตมีย์มิสามารถจะอดทนประทับนั่งอยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้
      แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ทรงประทับนิ่งอดทนอยู่ได้มิทรงขยับเขยื้อนไปไหนไม่พูดจาอันใด แม้กระทั่งทรงหิวโหยเพราะผิดเวลาพระกระยาหารก็มิทรงกันแสงร่ำร้องอย่างที่วัยเด็กสมควรกระทำ
      บางครั้งพระพี่ เลี้ยงก็อุ้มพระเตมีย์ไปประทับในตำหนักน้อย แล้วก็ให้คนแกล้งจุดไฟทำทีเป็นว่าพระตำหนักน้อยกำลังจะถูกไฟไหม้เพื่อหวังให้พระเตมีย์หวาดกลัวและวิ่งหลบหนีออกมา แต่ทว่าการณ์นั้นก็เป็นไปไม่สำเร็จ เพราะพระเตมีย์น้อยยังทรงประทับนิ่งไม่ไหวติง มิแสดงอาการหวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด
      การทดลองนั้นเกิดขึ้นด้วยลักษณะต่างๆ นานา แต่ทว่าทุกฝ่ายก็สิ้นปัญญาเพราะมิสามารถจะทำให้พระเตมีย์ราชโอรสพูดจาอันใดได้เช่นเดิม
      พระเตมีย์นั้นทรงดำริว่าการถูกทดลองแกล้งด้วยเหตุการณ์อันเลวร้ายต่างๆ นานานี้ ยังเป็นเรื่องเบานัก หากเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในขุมนรกหลังจากสิ้นชีพไปในภพนี้แล้ว ดังนั้นจึง
      สามารถที่จะวางพระองค์นิ่งเฉยด้วยความอดทนอยู่ได้
      วันเวลาล่วงผ่านไปแรมปี พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีก็ยังมิสิ้นหวังในการทดลองตามที่มีผู้แนะนำต่างๆ บางครั้งก็ให้นำพระเตมีย์ไปประทับนั่งที่กลางพระลานให้มีเด็กๆ ที่เป็นพระสหายห้อมล้อมอยู่เป็นอันมาก จากนั้นก็ให้ปล่อยช้างตกมันวิ่งเข้ามาในพระลานซึ่งบรรดาพวกเด็กเล็กต่างๆหลายสิบคนพากันร้องไห้วิ่งหนีแตกกระเจิงกันไปด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่พระเตมีย์ยังทรงนั่งประทับนิ่งอยู่ที่กลางพระลาน โดยมิแสดงพระอาการหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
      ครั้งต่อมามีการทดลองด้วยงู โดยให้พระเตมีย์ประทับนั่งอยู่แล้วปล่อยให้งูตัวใหญ่ยาวเลื้อยตรงเข้ามารัดพระวรกาย แม้กระนั้นพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนั่งนิ่งเฉยมิกระดุกกระดิกองค์ มิแสดงอาการหวาดกลัวหรือร่ำร้องแม้สักนิด
      การทดลองต่อมาเป็นการปล่อยให้นักดาบถือดาบอันคมกริบเล่มใหญ่วิ่งเข้ามาหมายจะฟาดฟันเข้าทำร้ายเอาชีวิต แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนิ่งมิหวาดหวั่นพระทัยลุกขึ้นวิ่งหนีหรือต่อสู้แต่อย่างใด
      ครั้งต่อไปนั้นมีการทดลองด้วยเสียง โดยให้พระเตมีย์ประทับนั่งอยู่พระองค์เดียวในที่แห่งหนึ่ง แล้วก็นัดหมายให้คณะมโหรีประโคมดนตรีขึ้นด้วยเสียงอันดังพร้อมๆ กันอย่างไม่มีปี่มีกลองทั้งเสียง สังข์เสียงแตรที่เป่าขึ้นโดยกะทันหัน ทั้งเสียงกลองที่ถูกตีระรัวขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเสียงที่ดังกึกก้องอึกทึกอย่างน่าตระหนกตกใจ แต่ทว่าเหตุการณ์ก็เป็นไปเช่นเดิมคือ พระเตมีย์ยังทรงประทับนิ่งมิไหวติงแม้แต่น้อย  การทดลองด้วยเหตุการณ์ต่างๆ หลายสิบหลายร้อยวิธีการผ่านไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลย ๗ ปีเต็มแล้ว
      บัดนี้พระเตมีย์น้อยทรงพระชนม์มายุได้ ๑๖ พรรษาแล้วแต่ทว่าพระองค์ก็ยังทรงเป็นเสมือนคนใบ้หูหนวก และเป็นง่อยมิเคลื่อนไหวลุกเดินไป ณ ที่แห่งใด มิพูดจาและมิรับรู้ไม่ได้ยินคำพูดของผู้ใดทั้งสิ้น
      พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีแม้จะสิ้นหวังและปวดร้าวดวงพระทัยเป็นยิ่งนัก แต่ทว่าก็ยังทรงมิหยุดยั้งที่จะหาวิธีทดลองต่างๆ นานาตามแต่จะมีผู้กราบทูลเสนอขึ้นมาคราใด
      ในครั้งนี้เมื่อเห็นว่าพระราชโอรสเจริญวัยขึ้นสู่วัยรุ่นหนุ่มแล้วก็ทรงได้ ศึกษากับบรรดาอำมาตย์มุขมนตรีว่าอันธรรมชาติของคนวัยรุ่นหนุ่มนั้นย่อมจะพึงใจในเรื่องเพศรส เราคิดว่าหากนำเอาดรุณีน้อยที่มีความงดงามมาทำการทดลอง อาจมิแน่ว่าพระเตมีย์โอรสของเราจะชื่นชอบก็เป็นได้
      บรรดาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งปวงก็เห็นด้วย จึงได้จัดเตรียมดรุณีแรกรุ่นผู้มีความสวยสดงดงามนับสิบคนให้เข้าไปคอยเฝ้าปรนนิบัติรับใช้ในพระตำหนักของพระเตมีย์ อีกทั้งมีการขับร้องร่ายรำ
      บรรเลงดนตรีตลอดทั้งทิวาและราตรี
      แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงมิมีความรู้สึกอันใดที่จะเปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย
      เมื่อทรงการทดลองครั้งนี้ พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีผู้เป็นพระราชบิดามารดาก็ถึงแก่ใจสลาย       ด้วยคิดว่าชะรอยพระราชโอรสของพระองค์นั้นอาจจะเป็นกาลกิณีที่มีบาปมีอัปมงคลติดตัว มาเป็นแน่
      บรรดาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งปวงที่สิ้นปัญญาก็พากันกราบทูลพระราชาว่า มิควรที่จะให้พระราชโอรสเตมีย์ประทับอยู่ต่อไปในพระราชวังให้เป็นเสนียดจัญไร ซึ่งอาจจะเกิดอุบาทว์หายนะขึ้นแก่บ้านแก่เมืองได้ น่าที่จะนำพระเตมีย์ไปทิ้งไว้เสียที่ป่าช้านอกนคร
      แม้พระราชาจะมีความรักในพระราชโอรสเพียงใด แต่ก็ท้อแท้พระทัยจนเห็นด้วยว่าน่าจะเนรเทศพระราชโอรสไปเสีย
ครั้นเมื่อพระนางจันทเทวีอัครมเหสีได้ทราบเรื่องก็รีบมาเข้าเฝ้าผู้เป็นพระสวามี แล้วกราบทูลขอพรพิเศษที่พระเจ้ากาสิกราชเคยพระราชทานไว้เมื่อครั้งอภิเษกสมรส
      “ถ้าเสด็จพี่ยังจำได้หม่อมฉันก็ใคร่จะขอพรพิเศษอันนั้นในบัดนี้ หม่อมฉันขอพระราชทานราชสมบัติและราชบัลลังก์แก่โอรสของเราเพคะ”   เมื่อได้สดับตรับฟังเช่นนั้นนับว่าเหนือความคาดหมายเป็นยิ่งนัก พระเจ้ากาสิกราชจึงตรัสถามอัครมเหสีอย่างสงสัยว่า
      “พระเตมีย์ลูกของเรานั้นทั้งเป็นใบ้หูหนวกและมิยอมเคลื่อนไหวร่างกายดังคนเป็นง่อย แล้วนี่น้องจะให้ลูกครองราชบัลลังก์ขึ้นเป็นพระราชาได้อย่างไรกันเล่า
      แต่ทว่าพระนางจันทเทวีก็ยังทรงวิงวอนขอร้องโดยไตร่ตรองให้พระเจ้ากาสิกราชยอมให้พระเตมีย์ครองบ้านครองเมืองนานเพียง ๗ ปีเท่านั้น แต่มิว่าพระอัครมเหสีจะวิงวอนขอร้องอย่างไร พระเจ้ากาสิกราชก็มิทรงพอพระทัย
      ในที่สุดพระนางจันทเทวีก็ต่อรองขอร้องให้เหลือเพียงเวลา ๗ วันเท่านั้น พระเจ้ากาสิกราชจึงจำใจโอนอ่อนผ่อนตามพระทัยด้วยเพราะเวทนาพระอัครมเหสีของพระองค์
      พระนางจันทร์เทวีนั้นปลาบปลื้มพระทัยยิ่งนัก จึงรีบให้นางสนมกำนัลข้าหลวงทั้งปวงช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องพระเตมีย์อย่างยิ่งใหญ่ในเครื่องทรงกษัตริย์
      พระเตมีย์นั้นมีความงดงามราวกับเทวดาเมื่อทรงสง่าอยู่ในชุดเครื่องทรงกษัตริย์อันเพริศแพร้วแวววาว ขณะที่ประทับขบวนเสด็จเลียบพระนครให้บรรดาอาณาประชาราษฎร์ได้ชื่นชมขวัญบารมีกันทั่วพาราณสี
      แต่ทว่าพระเตมีย์ก็ยังทรงประทับนิ่งเฉยมิขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้สักน้อย มิตรัสพูดจาอันใด
      จนวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อครบ ๗ วันสิ้นแล้ว พระเจ้ากาสิกราชก็จำต้องมีรับสั่งให้บรรดาทหารหลวงนำตัวพระเตมีย์ขึ้นราชรถออกจากพระนครเพื่อไปฝังเสียให้ตายที่ป่าช้านอกพระนคร
      พระนางจันทเทวีนั้นได้แต่ทรงพระกันแสงร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจแต่ก็มิสามารถที่จะคัดค้านวิงวอนอันใดได้อีก
      ทางฝ่ายพระสารถีผู้มีนามว่าสุนันทะนั้นก็ให้บังเอิญทำภารกิจนั้นผิดพลาดไปราวกับมิมีสติ
      เริ่มตั้งแต่การเตรียมเทียมราชรถ แทนที่จะเตรียมราชรถสำหรับพิธีศพก็กลับได้ไปเอาราชรถมงคลมาเทียมม้าแล้วรับเอาพระเตมีย์ออกไป แทนที่จะมุ่งไปยังป่าช้าผีดิบทางทิศตะวันตกนอกพระนคร แต่ก็กลับขับราชรถมุ่งไปยังป่าแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออก
      เมื่อถึงชายป่าแล้วสุนันทสารถีก็เตรียมจอบเสียมลงจากราชรถเพื่อขุดหลุมฝังศพพระราชโอรสเตมีย์
      นายสุนันทะได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระเจ้ากาสิกราชว่า แทนที่จะทำการฝังทั้งเป็นตามธรรมเนียมประเพณี แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้ช่วยทุบศีรษะราชโอรสก่อน อย่าต้องฝังพระเตมีย์ทั้งเป็นให้เป็นที่ทุกข์ทรมานนักเลย   ขณะที่สุนันทสารถีกำลังขุดหลุมไปพลาง ทบทวนคำสั่งของพระราชาไปพลาง ขณะนั้นฝ่ายพระเตมีย์ซึ่งประทับนิ่งอยู่บนราชรถ ตัวพระองค์นั้นมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ๑๐ ปีแล้ว มิทราบว่าจะยังมีพละกำลังกายอย่างใดหรือไม่
      เมื่อดำริดังนั้นแล้วก็ทรงทดลองลุกขึ้นจากราชรถเสด็จลงเดินไปเดินมาอยู่ที่ข้างราชรถ แล้วก็ทดลองจับราชรถยกขึ้น ซึ่งก็ปรากฎเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
      พระเตมีย์สามารถยกราชรถขึ้นกวัดแกว่งได้ราวกับราชรถนั้นเบาเท่าปุยนุ่นก็มิปาน แล้วพระเตมีย์ก็เดินไปถามสุนันทสารถีว่าขุดหลุมเพื่ออะไร
      สุนันทะก็ตอบไปว่าขุดหลุมเพื่อฝังพระราชโอรสของพระราชาผู้เป็นกาลกิณี
      เมื่อพระเตมีย์ตรัสถามว่าสุนันทสารถีรู้ไหมว่าพระองค์เป็นใคร สุนันทสารถีนั้นจดจำมิได้ในเบื้องแรก ครั้นพระเตมีย์เฉลยว่าพระองค์นั้นคือราชโอรสผู้ที่สุนันทะกำลังจะฝังทั้งเป็นนั่นเอง
      สุนันทสารถีเมื่อพินิจพิจารณาแล้วก็ถึงกับตกตะลึงเป็นยิ่งนักก้มลงกราบแทบพระบาทของพระเตมีย์อย่างอัศจรรย์ใจเมื่อได้ประสพพบเจอปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อเช่นนี้
สุนันทสารถีเร่งอัญเชิญเสด็จพระเตมีย์ให้กลับคืนพระนครเพื่อเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ให้เป็นที่ปลาบปลื้มปีติยินดีแก่พระราชบิดามารดากับพสกนิกรต่อไป
แต่ทว่าพระเตมีย์นั้นทรงตรัสแก่สุนันทสารถีว่าพระองค์สู้อุตส่าห์อดทนวางองค์เป็นคนง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้นับ ๑๐ ปี เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากฐานะกษัตริย์ ซึ่งบัดนี้เมื่อทำสำเร็จแล้วพระองค์ก็มิปรารถนาที่จะกลับเข้าไปประกอบกรรมอีก แต่จะทรงบำเพ็ญพรตเป็นนักบวชอยู่ในป่าแห่งนี้สืบต่อไป
      เมื่อสุนันทสารถีได้ทราบถึงปณิธานของพระเตมีย์เช่นนั้น ก็เกิดศรัทธาใคร่อยากจะหนีความวุ่นวายทางโลกมาบวชบ้าง แต่ทว่าพระเตมีย์ก็มิทรงสนับสนุนเพราะถ้าหากว่าบวชด้วยความเป็นหนี้เช่น
      นั้นจะมิได้ผลบุญอันใด
      “สุนันทะจงกลับไปยังพระนครเพื่อกราบทูลเรื่องikวทั้งปวงแก่พระราชบิดาและพระราชมารดาของเราก่อนเถิด และถ้ายังมีความเลื่อมใสศรัทธาก็ค่อยกลับมาบวชในภายหน้า
สุนันทสารถีจึงรีบกลับเข้ามายังพระนครแล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้ากาสิกราชกับพระนางจันทเทวีโดยละเอียด
      “ราวกับปาฏิหาริย์เลยพระเจ้าข้า พระราชโอรสมิขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวพระวรกายนานนับ ๑๐ ปี แต่ทว่าพระองค์กลับมีพละกำลังเดินเหินอย่างสง่าแคล่วคล่องและตรัสวาจาอย่างอ่อนโยนไพเราะ เป็นยิ่งนักพระเจ้าข้า
      เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้ากาสิกราชกับพระนางจันทเทวีก็ตื่นเต้นยินดีเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดขบวนอันยิ่งใหญ่ออกจากพระนครไปเฝ้าพระเตมิย์ ณ ป่าแห่งนั้นทันที
      เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จไปถึงก็กันแสงร่ำไห้ด้วยความตื้นตันพระทัย แต่ก็ยังคงชักชวนให้พระเตมีย์โอรสกลับไปครองบ้านครองเมืองต่อไป
      แต่พระเตมีย์ก็ยังคงยืนยันกราบทูลพระราชบิดามารดาว่าพระองค์ปรารถนาทางธรรมเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์เลื่อมใสศรัทธาและปรารถนาที่จะบวช
พระเจ้ากาสิกราชจึงทรงให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วพระนครว่าผู้ใดหากมีจิตศรัทธาเลื่อมใสใคร่จะบวชในสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิดและพระองค์ยังได้จารึกแผ่นทองคำติดไว้ ณ เสาท้องพระโรง
      ว่าผู้ใดที่ต้องการทรัพย์สมบัติอันมีค่าก็จงมาเอาจากในคลังหลวงนั้นได้
      หลังจากนั้นมิช้ามินานนักบรรดาอาณาประชาราษฎร์ก็พากันชักชวนไปบวชในสำนักของพระเตมีย์ พากันทิ้งบ้านทิ้งเมืองจนพาราณสีนั้นกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด
      กษัตริย์ที่ครองนครใกล้เคียงกันนั้น เมื่อได้ทราบว่าพระเจ้ากาสิกราชสละราชสมบัติไปบวชในป่า จึงได้ยกกองทัพเร่งรุดมาหมายจะยึดพาราณสีไว้ครอบครอง
      แต่ทว่าเมื่อมาถึงก็พบพาราณสีกลายเป็นเมืองร้างจึงได้บังเกิดความสงสัย และได้ยกทัพตามติดไปยังชายป่านอกเมือง
      กษัตริย์ผู้นั้นได้พบเห็นพระราชา ราชินี และบรรดาเสนาอำมาตย์มุขมนตรี อีกทั้งพสกนิกรทั้งปวงพากันบำเพ็ญพรตเป็นนักบวชอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก จึงเข้าไปเฝ้าพระเตมีย์ และครั้นเมื่อได้ฟังโอวาทจากพระเตมีย์ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสใคร่ที่จะสละชีวิตทางโลก จึงพากันออกบวชละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งปวง บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งนั้นอย่างสงบ
      บรรดานักบวชทั้งชายหญิงเหล่านั้นเมื่อได้บำเพ็ญพรต บำเพ็ญธรรมตราบจนสิ้นอายุขัยก็ได้ไปบังเกิดอยู่ในเทวโลกมิต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป

 

คำสำคัญ (Tags): #ชาติที่ 1
หมายเลขบันทึก: 104009เขียนเมื่อ 17 มิถุนายน 2007 12:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท