ตอนจบของแรมพิศวาส,คำพิพากษาคดียุบพรรคและpirate of the caribian:มนต์มายาที่สัมผัส


สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ร่วมสมัยหลายอย่างแต่มีจุดร่วมอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของการที่ต้องใช้สติพิจารณาระหว่างความรู้สึกและข้อเท็จจริง,เรื่องของเหตุและผลและการรู้รักสามัคคี

ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ละครแรมพิศวาสดำเนินเนื้อหามาสู่บริบทสุดท้ายของเรื่องที่ทำให้คุณพจน์ผู้ถูกครอบงำทั้งจากด้วยมนต์มายาและการยึดติดทิษฐิของตนได้เห็นจุดอ่อนและอันตรายของกลีบผกาอนุภรรยาแสนสวยที่เขาเคยหลงปลาบปลื้มนักหนา...ในละครแรมพิศวาสอวสานลงแบบเดาไม่ถูกว่าในวาระสุดท้ายของกลีบผกานั้นเธอเข้าใจและยอมรับทั้งเลวและดีแห่งการกระทำของตนไปมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้วาระสุดท้ายกลีบผกาก็เพียงแต่นึกย้อนเห็นภาพบาปที่ตนก่อกับคนใกล้ชิดแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะขอโทษหรือแม้แต่จะเปิดเผยความจริงกับนบเลยว่าเขาเองก็ลูกคนหนึ่งของเธอ...ส่วนตอนท้ายที่นบ,น้อย,มาโปรดมาขอลาคุณพจน์และคุณเพ็ญไปเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่ทั้งสามเป็นเหมือนลูก/ทายาทของกลีบผกาผู้ทำร้ายและทำลายครอบครัวของคุณพจน์หากแต่คุณพจน์ซึ่งตอนนี้สติกลับคืนมาแล้วได้บอกให้ทั้งสามคลายจากความรู้สึกผิดในบาปที่ตนไม่ได้ก่อ เพราะผู้ก่อ(กลีบผกา)ก็ได้รับผลกรรมของเขาไปแล้ว..

จบละครไปแล้วก็มาถึงคิวของการตัดสินครั้งประวัติศาสตร์กรณีคดียุบพรรคเป็นครั้งแรกที่ได้ฟังการอ่านและชมบรรยากาศการตัดสินของศาลในครั้งแรกนั้นคิดว่าคงจะใช้เวลาไม่นาน(เราดูหนังฮอลีวู้ดมากเกินไป)แต่เมื่อศาลอ่านไปเรื่อยๆจากที่พยายามจะจำและตีความมาตรานี้เป็นอะไรขัดกับมาตราอื่นที่เคยเป็นข่าวหรือเคยได้ยินมาอย่างไรก็จะเริ่มปลงและปล่อยวาง..ไม่ต้องไปคิดขยายต่อหากแต่ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ..พบว่าศาลท่านอธิบายความเกี่ยวพันเรื่องราวให้ทีละขั้น

แต่ตอนคดีแรกนั้น..งงเพราะไม่คุ้นกับสำนวนและวิธีการเรียงความคิดของผู้พิพากษาที่ท่านจะเริ่มเอาเหต/ข้อกล่าวหาที่ฟ้องมาเป็นโจทย์(ตัวตั้งต้น)แล้วนำมาแยกแยะต่อเป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบปากคำและพยานหลักฐานในเหตนั้นๆประยุกต์กับการพิจารณาตามเจตนาแห่งข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง

..ตลอดเวลาที่ได้ฟังอย่างตั้งใจเหมือนได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งมีตัวละครหลากหลายแสดงบทบาทต่างๆ..ศาลเป็นเพียงผู้จัดลำดับเหตุการณ์ที่ตัวละครได้แสดงไปแล้วให้ผู้ฟังได้รับรู้แต่ศาลไม่ใช่ผู้กำกับการแสดง..บทหรือเกณฑ์ตัดสินที่ศาลใช้ไม่สามารถแก้หรือเปลี่ยนพฤติกรรมที่ได้ทำไปแล้วของตัวละครได้

หากแต่เราผู้ฟัง/ผู้ชมเริ่มเรียนรู้ไปด้วยกันว่า..ถ้าย้อนเวลากลับมาได้เราอาจจะรู้สึกหรือคิดทำอีกแบบหนึ่งมากกว่า..ทิษฐิบางเรื่องในอดีตจึงสั่นคลอนและคลายลงไปในอีกทาง(และเราก็หวังอยากให้บางคนก็เป็นเช่นกันบ้างนะ).

     

..สุดท้ายเสาร์ที่ผ่านมารวมกลุ่มกับเพื่อนไปดูหนังโจรสลัดภาคจบ..ขณะดูก็สนุกสนานคล้อยตามไปกับฉากและเนื้อหาที่ในหนังนั้นพยายามชักจูงใจเราให้เห็นว่าโจรสลัดก็คือเสรีชนในอีกรูปแบบหนึ่งที่เมื่อทางการ/ขุนนางบางคนตั้งตนและดำเนินการเข้มงวดและก้าวร้าวเกินไปพวกเขาก็จะต้องหาทางออก..หยุดตี/โกงกันและกันชั่วคราวหันมาร่วมมือหาข้อยุติเพื่อแก้ไขวิกฤติโจรสลัดเรื่องหนึ่งที่ต้องตัดสินใจคือจะสู้กับขุนนางอังกฤษ(อีสต์อินเดียคอมปานี)ผู้ปราบปรามกับเหล่าโจรสลัดหรือไม่อย่างไร

            

..น่าตลกที่ว่าโจรสลัดก็มีกติกามีผู้คุมกฏเช่นกัน..กฏ/กติกาของโจรสลัดมีการร่างไว้หากแต่เดิมไม่ได้สามารถนำมาใช้ได้เพราะไม่สามารถหาราชาของโจรสลัดได้เนื่องจากสลัดแต่ละคนก็เสนอแต่ตนเองเพื่อให้ใหญ่กว่าคนอื่นหรือไม่ให้คนอื่นเหนือกว่าตนเองแต่งวดนี้เมื่อแจ็ค สแปร์โรว์ยอมออกเสียงให้อลิซาเบท..เธอจึงได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ชนะเป็นพระราชาของโจรสลัดมีสิทธิ์ในการออกคำสั่งให้แก่เหล่าโจรสลัดกลุ่มต่างๆปฏิบัติตาม..โจรสลัดในหนังแม้ว่าจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ประณีตดูสกปรกมอมแมมหากแต่ก็มีจุดยั้งคิดได้ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ..ในยามคับขันทุกคนลดทิษฐิและความอยากส่วนตนไปก่อน..สุดท้ายแล้วโจรก็เลยรอดตายและมีความสุขตามอัตภาพของโจรแต่ละราย.

   .ออกจากโรงหนังแล้วกลับเศร้าใจอย่างประหลาดเมื่อเปิดทีวีดูข่าว..เพราะโจรสลัดในหนังกับโจรสลัดจอแก้วมันคนละอย่างกันมากๆ

หมายเลขบันทึก: 100402เขียนเมื่อ 3 มิถุนายน 2007 10:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ดังเรื่องนี้สนุกมาก

รักนะจุ๊บๆพี่พร้าว 0822416487

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท