y = x + 3
สมการนี้มีแต่ รูปแบบ(Form) ไม่มีความหมายเกี่ยวกับโลกรอบข้าง เรียกว่า ไม่มีเนื้อหา(Content)แต่ถ้าผมใส่ความหมายเกี่ยวกับโลกจริงเข้าไปว่า y : รายได้, x : เงินลงทุน, แล้ว ประโยคสัญลักขณ์นั้นก็มีเนื้อหา และมีความหมายเกี่ยวกับโลกจริงขึ้นมาทันที คือมีฐานะเป็น เชิงประจักษ์ ขึ้นมาทันที คราวนี้มาดูกระสวนของประโยคสัญลักขณ์ต่อไปนี้บ้าง
ถ้าให้ P1 : T-----HLI
P2 : HLI-----A
P3 : E-----A
สรุป : จาก P1,P2,P3, จะได้ :
Th1 : T-----A
Th2 : T U E-----A
ประโยคข้างบนนี้เป็นประโยคที่ไม่มีความหมายเชิงประจักษ์ มันมีแต่รูปแบบ ไม่มีเนื้อหา แต่ถ้าผมใส่ข้อความลงไป คือใส่เนื้อหาเชิงประจักษ์เข้าไปว่า P : Postulate(กติกา,ข้อตกลงเบื้องต้น), T : Time (เวลา), HLI : High Level of Intelligence (สติปัญญาระดับสูงขึ้นไป), A : Achievement (ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน), E : Easy (ความง่ายของบทเรียน), Th : Theorem,Theory(ทฤษฎีบท, ทฤษฎี), และ U : Union(and/or), แล้วรูปแบบข้างบนนี้ก็จะมีเนื้อหาเชิงประจักษ์ขึ้นมาทันทีและเรียกชื่อว่า ทฤษฎีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(Achievement Theory) ดังนี้
ทฤษฎีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กติกา(P) :
P1 : ในการเรียนรู้บทเรียนใด ๆ ถ้าให้เวลาเรียน(T) มากๆตามที่ผู้เรียนต้องการแล้ว สติปัญญาที่อยู่ ในระดับที่สูงขึ้นไป(HLI), จะแสดงกิจกรรมมากขึ้น นั่นคือ : T------HLI
P2 : ถ้าสติปัญญาระดับสูงขึ้นไป(HLI)ของบุคคลใดแสดงกิจกรรมตอบสนองต่อบทเรียน แล้วจะทำให้บุคคลนั้นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(A)สูงขึ้น นั่นคือ : HLI------A
P3 : ในการเรียนบทเรียนใดๆ ถ้าผู้สอนทำบทเรียนให้ง่าย(E) โดยวิธีหรือกระบวนการใดๆ แล้ว ผูเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์(A) จากบทเรียนนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสติปัญญาในระดับที่สูงขึ้น นั่นคือ : E ------ A
จาก P1 - P3 นิรนัยไปเป็น Theorem(Th) ได้ดังนี้
จาก P1 - P2 จะได้ :
Th1 : T ------ A
จาก P3 - Th1 จะได้ :
Th2 : T U E ------ A
ทฤษฎีตามตัวอย่างนี้ มีทั้ง รูปแบบ และเนื้อหา ดังนั้นจึงจัดเป็นทฤษฎีประเภทแข็ง (Strong - Form Theory )
ขอให้สังเกตว่า รูปแบบของทฤษฎีนี้คล้ายกับรูปแบบของการให้เหตุผลแบบนิรนัย คือ P1 - P3 ทำหน้าที่เป็น เงื่อนไขมาก่อน หรือ ข้ออ้าง (Premises) และ Th1 - Th2 เป็นผลที่ตามมา หรือผลสรุป(Conclusion) ดังนั้น ผมจึงยืมคำทางตรรกศาสตร์มาใช้อยู่บ่อย ๆ ในบันทึกต่าง ๆ ที่ผ่านมา(นักตรรกศาสตร์ทั้งหลายไม่ว่ากันนะ หากผมใช้ในความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากเจ้าของสาขาไปบ้าง ก็ให้ถือว่าเป็นความหมายของผมที่ผมใช้ก็แล้วกัน )
บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมจึงเรียกกลุ่มข้อความข้างบนว่าทฤษฎี คำตอบก็คือ (1) ประโยคเหล่านั้นกล่าวถึงสิ่งที่สังเกตไม่ได้โดยตรง คำเหล่านั้นได้แก่ เวลา(Time - T), ระดับของสติปัญญา(HLI), ความง่าย(E), ผลสัมฤทธิ์(A), (2) เป็นกลุมข้อความที่ อธิบาย เหตุการณ์ในธรรมชาติ คือผลสัมฤทธิ์จากการเรียนรู้บทเรียน ที่เราสามารถสังเกตได้จากคะแนนการสอบ
ถ้าจะถามว่า ทำไมจึงเป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์ คำตอบสั้นๆก็คือ คำกล่าวของทฤษฎีนี้เราสามารถที่จะนิรนัยไปเป็นข้อความที่สังเกตได้ เช่น จาก Th1 ทำนายว่า ถ้าให้บุคคลใดๆ เรียนบทเรียนใดๆ โดยให้บุคคลนั้นๆ ใช้เวลาเรียนเต็มที่ตามที่ตัวเองต้องการ แล้ว คนที่มีสติปัญญาสูงหรือต่ำ ก็เรียนได้สำเร็จพอๆกัน. ถ้าเราจะนำข้อความนี้ไปทดสอบด้วยวิธีการวิจัยก็ได้ และถ้าทำเช่นนี้ ข้อความนี้ก็คือ สมมติฐานของการวิจัย นั่นเอง.
โยม อาจารย์
อาตมาทำความเข้าใจได้ เพราะสอนตรรกศาสตร์ 5 5 5
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้า
เพราะว่า พระคุณเจ้าเป็นนักปรัชญา ครับ แต่เนื่องจาก ศาสนาพุทธ มีแนวคิดสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ พระคุณเจ้าจึงได้สนใจเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ผมรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว
ล้ำลึก เลื่อมใส
ขอบคุณค่ะ ครูต้อย เพิ่งกระจ่าง
หากเราสร้างบทเรียนให้กระจ่างง่าย โดยใช้เทคนิค วิธีการ กระบวนการใดก็ได้ จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนที่ไม่จำเป็นต้องมีระดับสติปัญญาสูง ก็สามารถมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาสูง และถ้าให้เวลาตามที่เขาต้องการจะเรียนรู้ ใช่ตามศักยภาพไม๊ค่ะ อาจารย์ดร.เด็กที่มีสติปัญญาต่ำก็จะเรียนได้สำเร็จพอๆกับเด็กที่มีปัญญาสุง แสดงว่าเราให้ความสำคัญที่การวางแผนการจัดการเรียนรู้ ใช่ไหมค่ะ ถ้าเป็นอย่างที่ตัวเองเข้าใจ ก็จะสามาถแก้ปัญหาเด็กเรียนช้า ไม่ทันเพื่อนได้ แต่มันมีบางอย่างค่ะ หลัดสูตรมันบังคับ เราไม่อาจขอร้องให้ เขา ยืดหยุ่นเวลาเรียนรู้ให้เด็กเราได้ นอกจากครูต้องทำงานเพิ่ม ใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วยนำพาเด็กไปสู่จุดหมาย เอ. อ.ดร.ค่ะ รูปแบบทฤษฏีเชิงประจักษ์ นี่ขอนำไปทดลองใช้สัก 1 เดือนนะคะ รอโรงเรียนเปิด แล้วจะส่งผลให้ทราบ ขอบพระคุณค่ะ
(๑) ขอบคุณครับ คุณภาณุ
(๒) ครูต้อยเข้าใจถูกแล้วครับ
ตามทฤษฎีนี้ พยากรณ์ว่า ถ้าให้เด็กใดๆที่มีอวัยวะครบถ้วน และใช้การได้ตามปกติ และเป็นเด็กธรรมดา (ไม่เอ๋อ ฯลฯ)เรียนบทเรียนที่ง่าย และให้เวลาเต็มที่ตามที่เขาจะต้องการ แล้ว เด็กเหล่านั้นจะเรียนรู้บทเรียนได้สำเร็จพอๆกัน
(๓) ที่ว่าจะนำไปใช้นั้น ยินดีอย่างยิ่งครับ